วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

ยอดขายอสังหาไทยปี55สูงสุดในอาเซียน


             ยอดขายอสังหาไทยปี55สูงสุดในอาเซียน


ยอดขายอสังหาไทยปี55สูงสุดในอาเซียน


มูลค่าซื้อขายที่อยู่อาศัยของไทยปี 2555 อยู่ที่ 5.78 แสนล้าน จาก 2 แสนกว่าหน่วย กระจุกในหัวเมืองใหญ่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต

 
นายโสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ประเมินว่า จำนวนมูลค่าที่อยู่อาศัยที่ขายได้ทั้งหมดในช่วงปี พ.ศ.2555 อยู่ที่ 578,588 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนหน่วยรวมถึง 206,562 ซึ่งนับว่าสูงที่สุดในประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ
ทั้งนี้ สามารถแบ่งออกเป็น 20 อันดับนครตามมูลค่าของที่อยู่อาศัยที่ขายได้ในปี พ.ศ.2555 ได้แก่ 1. กทม-ปริมณฑล 52.0% 2. พัทยา 6.3% 3. ภูเก็ต 5.3% 4. ชะอำ-หัวหิน 5.0%  5. เชียงใหม่ 3.9%  6. หาดใหญ่ 1.9%  7. ขอนแก่น 1.8%  8. เมืองระยอง 1.4%  9. ศรีราชา 1.3% 10. เมืองชลบุรี 1.2%  11. บางแสน 1.1%  12.    นครราชสีมา 1.1%  13. สุราษฎร์ธานี 0.8%  14. สัตหีบ 0.7%  15. นครปฐม 0.6% 16. อุดรธานี 0.6%  17. อยุธยา 0.6%  18. เชียงราย 0.6%  19. บ่อวิน 0.6% 20.    สมุย 0.4%
จะสังเกตได้ว่าเมืองหลัก ๆ ที่มีผู้ซื้อที่อยู่อาศัยมากนั้น โดยเฉพาะใน 5 อันดับแรก ส่วนมากเป็นเมืองท่องเที่ยว ในขณะที่เมืองหลักในจังหวัดภูมิภาค มีผู้ซื้อในปี พ.ศ.2555 อยู่ไม่มากนัก เช่น หาดใหญ่ (1.9%) ขอนแก่น (1.8%) นครราชสีมา (1.1%) สุราษฎร์ธานี (0.8%) อุดรธานี (0.6%) และเชียงราย (0.6%) เท่านั้น  ในหลายพื้นที่หน่วยที่ขายได้ในปี พ.ศ.2555 มีมากกว่าหน่วยที่เปิดใหม่ในปีเดียวกันเสียอีก โดยเฉพาะในกรณีของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล แสดงว่าตลาดอยู่ในช่วงเติบโตดี
สำหรับสินค้าที่ยังเหลือเข้ามาขายในปี พ.ศ.2556 นั้น ประมาณการไว้ว่ามีอีกถึง 833,311 ล้านบาท รวมทั้งหมด 247,912 หน่วย ซึ่งมากกว่าหน่วยที่ขายได้ในปี พ.ศ.2555 โดยสามารถแยกแยะนคร 10 อันดับแรกที่มีหน่วยขายที่ยังเหลือเข้ามาขายปี พ.ศ.2556 ตามมูลค่าที่อยู่อาศัยได้ดังนี้ 1. กทม-ปริมณฑล 50.0%  2. พัทยา 8.4%  3. ภูเก็ต 7.3%  4. เชียงใหม่ 5.1%  5. ขอนแก่น 3.9%  6. ชะอำ-หัวหิน 3.6%  7. สมุย 1.2%  8. พระนครศรีอยุธยา 1.0%  9. หาดใหญ่ 0.9%  10. นครราชสีมา 0.8%
จะสังเกตได้ว่าพัทยามีสัดส่วนถึงประมาณหนึ่งในหกของกรุงเทพมหานคร 8.4% และแม้พัทยาจะมีสัดส่วนของมูลค่าของสินค้ามากเมื่อเทียบกับมูลค่าของสินค้าที่ขายได้แล้วในปี พ.ศ.2555 ก็ตาม แต่ปรากฏว่าพัทยาสามารถขายสินค้าได้เร็วมาก โดยคาดว่าสินค้าที่เหลือเข้ามาขายในปี พ.ศ.2555 นั้นจะขายหมดในเวลาเพียง 6 เดือน ในกรุงเทพมหานครที่มีหน่วยขายเหลืออยู่มากนั้นจะขายหมดได้ในเวลาประมาณ 12 เดือน ส่วนชะอำ-หัวหิน ตกมาเป็นอันดับที่หกคือ 3.6% แสดงว่าที่ชะอำ-หัวหินขายได้ดีมาก เหลือมูลค่าของหน่วยขายน้อยมาก
ส่วนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติในปี พ.ศ.2555 ที่ผ่านมา มีต่างชาติซื้ออสังหาริมทรัพย์ไปทั้งหมดรวมกันทั่วประเทศประมาณ 67,031 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพียง 11.6% ของมูลค่าที่อยู่อาศัยที่ขายอยู่ทั้งหมด 578,588 ล้านบาท สำหรับมูลค่าที่อยู่อาศัยที่ต่างชาติเข้าซื้อ 15 อันดับแรกซึ่งเป็นถือเป็นพื้นที่เป้าหมายของต่างชาติได้แก่
1. กทม-ปริมณฑล  มูลค่า 18,052 ล้านบาท คิดเป็น 26.9%
2. ภูเก็ต  มูลค่า 14,164 ล้านบาท คิดเป็น 21.1%
3. พัทยา มูลค่า 13,176 ล้านบาท คิดเป็น 19.7%
4. ชะอำ-หัวหิน มูลค่า 7,275 ล้านบาท คิดเป็น 10.9%
5. เชียงใหม่ มูลค่า 2,241 ล้านบาท คิดเป็น 3.3%
6. หาดใหญ่ มูลค่า 1,656 ล้านบาท คิดเป็น 2.5%
7. สมุย มูลค่า 1,405 ล้านบาท คิดเป็น 2.1%
8. เมืองระยอง มูลค่า 1,219 ล้านบาท คิดเป็น 1.8%
9. ศรีราชา มูลค่า 1,141 ล้านบาท คิดเป็น 1.7%
10. ขอนแก่น มูลค่า 1,014 ล้านบาท คิดเป็น 1.5%
11. บางแสน มูลค่า  642 ล้านบาท คิดเป็น 1.0%
12. นครราชสีมา มูลค่า  500 ล้านบาท คิดเป็น 0.7%
13. อุดรธานี มูลค่า  497 ล้านบาท คิดเป็น 0.7%
14. เชียงราย มูลค่า  494 ล้านบาท คิดเป็น 0.7%
15.  สัตหีบ มูลค่า  411  ล้านบาท คิดเป็น 0.6%
เฉพาะ 5 นครแรก มีต่างชาติซื้อขายถึง 81.9% หรือสี่ในห้าของการซื้อขายโดยชาวต่างชาติทั้งหมด จะเห็นได้ว่าในกรณีนี้ภูเก็ตแซงหน้าพัทยา เพราะเป็นพื้นที่เป้าหลายหลักของต่างชาติรองจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  ในกรณีชะอำ-หัวหิน ซึ่งเป็นแหล่งตากอากาศ ก็มีต่างชาติซื้อมากเช่นกัน  รวมทั้งเชียงใหม่ หาดใหญ่ และสมุย เป็นต้น
นายโสภณ กล่าวว่า หากประเทศไทยเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ณ อัตราประมาณ 1% ต่อปี เช่นเดียวกับในสหรัฐอเมริกา ก็เท่ากับได้เงินภาษีมาพัฒนาท้องถิ่นอีกปีละ 670.31 ล้านบาท แต่ในประเทศไทยไม่มีภาษีนี้ จึงเท่ากับให้สิทธิต่างชาติซื้อที่อยู่อาศัยโดยไมต้องเสียภาษีส่วนนี้เลย จึงถือเป็นความเสียเปรียบของประเทศต่อชาวต่างชาติ

 โพสต์ทูเดย์  24 เมษายน 2556 

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

โรงงานไทยแห่ตั้งเขมรทำราคาที่ดินพุ่ง


    โรงงานไทยแห่ตั้งเขมรทำราคาที่ดินพุ่ง






นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานกรรมการบริหารบริษัท ที.เค. กรุ๊ป เปิดเผยว่า  ขณะนี้มีนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่งเริ่มทะยอยจัดตั้งในประเทศกัมพูชาเพื่อรองรับการขยายฐานการผลิตจากนักลงทุนไทย, ญี่ปุ่น, จีน,เกาหลี และกลุ่มยุโรป ที่ต้องการอานิสงส์ค่าจ้างที่ต่ำเฉลี่ยที่ 80-90 บาทต่อวัน รวมถึงการมีปริมาณแรงงานที่เพียงพอ และประเทศกัมพูชาสามารถรับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) อีกหลายปี ในกรณีการส่งออกไปยังสหรัฐฯและกลุ่มยุโรป

  ทั้งนี้ทำให้ราคาที่ดินในประเทศกัมพูชาเริ่มที่จะปรับราคาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะใน จ.ศรีโสภณ ประเทศกัมพูชาที่ปกติราคาที่ดินบางแห่งอยู่ที่  4-5 ดอลลาร์สหรัฐต่อตร.ม. เพิ่มเป็น 10-15 ดอลลาร์ต่อตร.ม.  หรือเป็นการเพิ่มขึ้น2-3 เท่าตัว ซึ่งผลการเข้าไปตั้งนิคมฯหลายแห่งส่งผลให้เศรษฐกิจของกัมพูชาดีขึ้นและชาวบ้านที่มีที่ดินก็มีรายได้เพิ่มด้วย
  นายทวีกิจ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัท ที.เค.กรุ๊ป ได้ร่วมทุนกับนักลงทุนจากประเทศกัมพูชาในการพัฒนาพื้นที่นิคมฯ ศรีโสภณอินดัสทรี้ ที่จ.ศรีโสภณ ประเทศกัมพูชาในพื้นที่ 400 ไร่ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ล่าสุดมีผู้ประกอบการในกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม, รองเท้า, ชิ้นส่วนยานยนต์, เฟอร์นิเจอร์ เริ่มเข้ามาเจรจาในการขอเช่าพื้นที่ตั้งโรงงานจำนวนมาก โดยการให้เช่านั้นมีการคิดค่าเช่าที่ 35 ดอลลาร์ต่อ 1 ตร.ม. ต่อ 40 ปี ซึ่งถือว่าราคาไม่แพงมากนัก

 เดลินิวส์ 23 เมษายน 2556