วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

10 เมืองที่มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลก ปี 2013

WCOL_2013_570x257

จากรายงานของ Economist Intelligence Unit  ในสัปดาห์นี้เกี่ยวกับเมืองที่มีค่าครองชีพสูงสุดในโลก มี โตเกียว (Tokyo)  โอซาก้า (Osaka)  ซึ่งไม่น่าแปลกใจอย่างไรมากนัก  เนื่องจากเมืองโตเกียวได้รับตำแหน่งมาแล้วถึง 6 ปี ซ้อน
การจัดอันดับอิงจากปัจจัยค่าครองชีพ ตั้งแต่ราคาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มยันไปถึงอาหารการกิน  ซึ่งสินค้าขนมปัง  ไวน์ และบุหรี่ ราคาแพงขึ้นเห็นได้ชัดเจน  เนื่องจากราคาค่อนข้างผันผวนตามการปรับภาษี/ศุลากรแต่ละปี
รายชื่อเมืองเหล่านี้ถูกคำนวณในจำนวนสินค้าเท่าๆกันตามดัชนี Consumer Price Index ของสหรัฐเมริกา   ซึ่งผลปรากฎว่า  โตเกียว เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุด  และประชากรหนาแน่นมากที่สุด  รวมไปถึงยังเป็นอีกเมืองที่สำคัญของโลกอีกด้วย  ราคาเฉลี่ยของขนมปัง 1 แถว ประมาณหนัก 2 ปอนด์  ประมาณ  9.06 เหรียญสหรัฐฯ (270 บาท)  และไวน์ตกอยู่ที่ราคา  15.95 เหรียญฯ (476 บาท)
ขณะที่ ซิดนีย์  (Sydney) และ เมลเบิร์น (Melbourne) กระโดดขึ้นมา 3 และ 4 อันดับ โดยเทียบกับราคารไวน์ขวดเดิมในโตเกียว  มีราคามากกว่า 25 เหรียญฯ    สาเหตอาจจะเป็นเพราะการติดต่อกับทางการค้าและเศรษฐกิจกับจีน  จึงทำให้ดอลล่าร์ออสเตรเลียจึงสูงกว่าดอลล่าร์สหรัฐฯ ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา  ดังนั้นจะไปอาศัยหรือท่องเที่ยวในออสเตรเลียก็ต้องระมัดระวังค่าครองชีพด้วยเช่นกัน
แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ  การากัส  (Caracas) เมืองหลวงของเวเนซุเอลา กระโดดขึ้นมา 25 อันดับจากปีที่แล้ว จนติดอันดับที่ 9   สาเหตุเป็นเพราะอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและอัตราการแลกเปลี่ยนเงินกับดออลล่าร์สหรัฐฯแบบคงที่  ตัวอย่างเช่น  ราคาขนมปัง 1 แถว แพงขึ้น 20% หากเทียบกับปีที่แล้ว  และราคาไวน์สูงขึ้น  13%
จากรายการเผยแนวโน้มให้เห็นว่า ประเทศแถบเอเชียกำลังจะมาแทนที่ประเทศแถบยุโรป ในแง่เมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก  ซึ่ง 20 อันดับแรก  มีประเทศในเอเชียถึง  11 เมือง  ส่วนลอสแองเจลลิส (L.A.) และ นิวยอร์ค (NewYork) อยู่อันดับเดียวกันที่ 27
10 อันดับเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุด
10. Geneva
9. Caracas
8. Paris
7. Zurich
6.  Singapore
5. Melbourne
4. Oslo
3. Sydney
2. Osaka
1. Tokyo

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ปัญหาหลักของปัญหาชุมชนแออัด

ปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน หรือผู้มีรายได้น้อยในเมืองใหญ่ ปรากฎชัดเจนภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากมีผู้อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่เป็นจำนวนมาก โดยเช่าที่ดินของเอกชน ก่อสร้างบ้านกันเอง แต่ขาดสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ทำให้ชุมชนมาสภาพเสื่อมโทรม และกลายเป็นชุมชนแออัดในเวลาต่อมา
                เมื่อเริ่มใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาใช้พัฒนาประเทศ ทำให้เศรษฐกิจของเมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงงานในการผลิต โดยมีความต้องการแรงงานภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการสูงขึ้นมากแต่ความต้องการแรงงานในภาคเกษตรกรรมกลับลดลง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นตัวดึงดูดให้แรงงานในชนบทให้เข้ามาสู่ในเมือง โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ในช่วง 20 ปีแรกกรุงเทพ ฯ มีการเติบโตอย่างรวดเร็วโดยมีขนาดใหญ่กว่าจังหวัดเชียงใหม่ถึง 50 เท่า และช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติใน 5 หลังจากนี้ จึงมีความพยายามที่จะกระจายความเจริญสู่ปริมณฑล และในหัวเมืองใหญ่ต่าง ๆ ในภูมิภาค หลังจากนั้นทำให้หัวเมืองใหญ่กลายเป็นแหล่งรับผู้ย้ายถิ่นจากภาคชนบททั่วประเทศ เกิดปัญหาชุมชนแออัด และแหล่งเสื่อมโทรมเช่นเดียวกับกรุงเทพ ฯ 
                ปัจจุบันมีชุมชนแออัดทั่วประเทศประมาณ 5,500 ชุมชน 1.5 ล้านครัวเรือน ประชากรประมาณ 6.75 ล้านคน ขณะที่ในกรุงเทพ ฯ มีสลัมประมาณ 1,000 แห่ง และในต่างจังหวัด เช่น จังหวัดนครสวรรค์มีชุมชนกว่า 50 แห่ง, อยุธยามีประมาณ 50 – 60 แห่ง และเมืองใหญ่ทั้งเชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลาก็มีชุมชนแออัด และสลัมมากมายหลายแห่ง ซึ่งในแต่ละเมืองก็จะมีที่ว่างเปล่า แต่ไม่ได้จัดให้คนจนอยู่ เพราะนั้นคนจนก็เลยจัดหาที่กันเอง ซึ่งเรียกว่า “ชุมชนบุกรุก” หรือ ชุมชนบุกเบิก” ซึ่งอยู่เป็นจำนวนมาก
                นอกจากที่มีแรงงานจากชนบทย้ายเข้ามาอยู่อาศัยในเมืองใหญ่ อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีชุมชนแออัด และสลัมก็คือ ปัญหารายได้ เพราะคนที่อยู่ในชุมชนแออัด เป็นคนจน รายได้น้อย อาจเกิดมาจากลัทธิทุนนิยม มีการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม คนรวยก็รวยมาก คนจนก็จนมาก และเนื่องจากการทำงานในเมืองใหญ่มีรายได้ที่สูงกว่าในชนบท ทำให้มีคนย้ายเข้ามาทำงานในเมือง
                ในกรุงเทพ ฯ มีคนจน ผู้มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 9,000 บาทอยู่ร้อยละ 30 และในภูมิภาคอีกร้อยละ 44 คนจนกลุ่มนี้มีความสามารถในการจ่ายค่าที่อยู่อาศัยประมาณเดือนละ 800 – 1,000 บาท สำหรับชุมชนแออัด พบว่า ผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 10,000 บาท ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 มีประมาณร้อยละ 56 และในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจร้อยละ 62 แต่ในคนจนบางรายก็ไม่ได้จ่ายค่าที่อยู่อาศัย เพราะเข้าไปสร้างบ้านในที่ดินของผู้อื่น ซึ่งผิดกฎหมาย
                ปัญหาชุมชนแออัดนั้นเป็นบ่อเกิดของปัญหาในด้านสิ่งแวดล้อมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสกปรกตามทางเท้า หรือบริเวณบ้านในชุมชน มีทัศนวิสัยที่ไม่สวยงาม มลภาวะเป็นพิษจากยานพาหนะต่าง ๆ ทำให้อากาศเสีย มีฝุ่นละอองมาก ไม่มีบำบัดน้ำเสียที่ดี ทำให้น้ำในลำคลองเน่าเสีย บวกกับทิ้งขยะในแม่น้ำในแต่ละบ้านเรือน เนื่องจากไม่มีการกำจัดขยะที่ดี ส่งผลให้ขยะล้นเมือง ไม่มีที่กำจัดขยะที่เพียงพอ 
                แนวทางในการพัฒนาประเทศที่ผ่านมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในช่วงปลายทศวรรษ 2510 เมื่อประเทศต่าง ๆ ได้รับเอกราชก็มีแนวทางแก้ปัญหา โดยมีรัฐเป็นหน่วยงานหลัก บวกกับความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาของประเทศสิงคโปร์ด้วยการสร้างแฟลต ทำให้เกิดการก่อตั้งการเคหะแห่งชาติขึ้นในหลายประเทศ ได้มีกฎหมายควบคุมการเช่าที่ดิน และรัฐได้มีบทบาทในการจัดหาที่อยู่อาศัยให้ประชาชน แต่ความแตกต่างทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และระบบการจัดการที่ดิน ทำให้การแก้ปัญหาในทางนี้ทำได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
                ในช่วงปี 2520 – 2530 องค์การสหประชาชาติ ได้ผลักดันแนวทางใหม่ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยแทนการสร้างแฟลต ด้วยวิธีปรับปรุงชุมชนในที่เดิม (Slum Upgrading) และการก่อสร้างบางส่วน (Sile & Service) ด้วยการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคบนที่ดินแปลงว่าง หรือสร้างโครงสร้างบางส่วนให้ เช่น หลังคา ห้องน้ำ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหาด้านสภาพแวดล้อม และสาธารณูปโภคพื้นฐานได้อย่างกว้างขวาง และในช่วงนี้เอง มีการเจริญเติบโตด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างรวดเร็วในเอเชีย ระบบการเงินในตลาดมีความคล่องตัวในการจัดหาที่ดิน และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อหวังผลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
                และในช่วงปี 2530 จนถึงปัจจุบัน มีการเปิดกว้างในเรื่องระบบประชาธิปไตย ทำให้เกิดการรวมตัวกันของชุมชนเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา และจัดการที่อยู่อาศัย โดยมีชุมชนเป็นแกนหลักในการกำหนดความต้องการ รูปแบบที่อยู่อาศัย ผังชุมชนให้สอดคล้องกับความสามารถทางการเงินของคนในชุมชน และสภาพความเป็นอยู่ โดยรัฐจะสนับสนุนด้านสาธารณูปโภคที่จำเป็น เป็นผลนำไปสู่การเกิดสำนักงานพัฒนาชุมชนเมือง หรือ พชม.จนกระทั่งได้รวมกับกองทุนพัฒนาชนบท และจัดตั้งเป็นสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน หรือ พอช. ซึ่งดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน
                ในหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยให้บริการด้านที่อยู่อาศัย และให้ชุมชนดำเนินการเอง เพื่อแก้ปัญหาคนจนไม่มีที่อยู่อาศัย และปัญหาชุมชนแออัด โดยรูปแบบในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ได้แก่
  1. การก่อสร้างแฟลต เช่น แฟลตคลองเตย แต่ก็ไม่สามรถแก้ไขปัญหาคนจนได้ รวมทั้งยังเป็นโครงการที่มีราคาสูง และเป็นการเพิ่มความหนาแน่นให้เกิดขึ้น ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนจนที่ต้องมีเครื่องมือทำมาหากิน เช่น รถเข็น หาบเร่
  2. การปรับปรุงสาธารณูปโภคในที่ดินเดิม (Slum Upgrading) เป็นการปรับปรุงชุชนเดิมให้มีสภาพที่ดีขึ้น โดยปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคทางเดินท้าง และสภาพแวดล้อมในชุมชน สร้างคุณภาพชีวิตชาวชุมชนให้ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามการปรับปรุงชุมชน ก็ยังขาดความมั่นคงในที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยในระยะยาว
  3. การปรับผังที่ดิน (Reblocking) เป็นการปรับปรุงรูปแบบชุมชนเดิมให้มีผัง และโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดีขึ้น โดยอาจจะมีการปรับ หรือรื้อย้ายบ้านบางส่วน และพัฒนาระบบสาธารฯปโภคให้ดีขึ้น แต่ต้องเสียค่าที่ดินในกรณีเช่าที่ระยะยาว หรือซื้อที่สลัมเดิม แต่ชุมชนได้ความมั่นคงในการอยู่อาศัย และสามารถพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีโครงการที่ดำเนินการทั้งสิ้น 8 – 10 ชุมชน
  4. การประสานประโยชน์การใช้ที่ดิน / การแบ่งปันที่ดิน (Land Sharing) โดยให้เจ้าของที่ให้เช่า หรือขายที่บางส่วนในชุมชนในราคาถูก แลกกับการใช้ประโยชน์จากที่ดินส่วนที่เหลือ มีประมาณ 10 – 12 โครงการ ได้แก่ ชุมชนเซ่งกี่ ชุมชนบ้านมนังคศิลา ทำให้ชุมชนมีความมั่งคงระยะยาว หรือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
  5. การรื้อย้าย และสร้างชุมชนใหม่ที่อยู่บริเวณเดิม เช่น คลองเตย 70 ไร่ เป็นการรื้อย้ายภายในบริเวณเดิมยายจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง แล้วให้สัญญาเช่า 20 ปี เป็นการให้ความมั่นคงกับชาวบ้าน ทำให้สภาพชุมชนไม่เป็นเหมือนสลัม
  6. การรื้อย้าย และการสร้างชุมชนในที่ดินใหม่ มีข้อดีที่ชุมชนได้ความมั่นคง แต่ทำให้ชุมชนต้องอยู่ไกลจากชุมชนเดิม ไกลแหล่งทำงาน เกิดภาระค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงในการซื้อที่ดิน และก่อสร้างบ้าน ซึ่งรัฐสนับสนุนสาธารณูปโภคประมาณ 102,000 บาท / หน่วย 
ในปี 2535 รัฐบาลนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุน ได้อนุมัติกองทุน 1,250 ล้านบาท ในการดำเนินโครงการพัฒนาคนจนในเมือง พร้อมตั้งสำนักงานพัฒนาชุมชนเมือง หรือ พชม. ภายใต้การเคหะแห่งชาติ มีบทบาทช่วยแก้ปัญหาการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนของคนจน และสร้างแนวทางใหม่ที่ใช้ระบบเงินแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยคนจน โดยสัมพันธ์กับการพัฒนาอื่น ๆ ของชุมชนโดยชุมชน ได้ให้การสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่องค์กรชุมชนในหลายโครงการ ได้แก่ การปรับปรุงที่อยู่อาศัยในที่ดินเดิม การซื้อที่ดินเดิมแล้วก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2545 ได้ให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยแก่องค์กรชุมชนแล้ว 47 โครงการ ใน 11 จังหวัด โดยมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี โดยองค์กรบวกส่วนต่าง ร้อยละ 3 – 5 และคิดดอกเบี้ยจากร้อยละ 6 – 8
ในปี 2546 รัฐบาลได้ทำโครงการบ้านเอื้ออาทร เป็นโครงการบ้านคนจน เพื่อแก้ไขปัญหาการเกิดสลัม ชุมชนแออัดให้หมดภายใน 5 ปี ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ โดยเสนอโครงการเมื่อปลายปี 2545 และประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรก ต้นปี 2546  ก็ยอมรับหลักการ
โครงการบ้านเอื้ออาทร ให้ผู้มีรายได้น้อยไม่เกิน 10,000 บาทและไม่มีบ้าน คือ เมื่อซื้อแล้วภายในเวลา 5 ปี ห้ามขายบ้าน หลังจาก 5 ปีสามารถขายบ้านได้ แต่การเคหะแห่งชาติต้องรับรู้ด้วย โดยมีพื้นที่นำร่อง คือ หัวหมาก ประชานิเวศน์ บางโฉลง จังหวัดสมุทรปราการ คลอง 3 อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี และจังหวัดเชียงใหม่ ในเบื้องต้นเปิดจอง 11,727 ยูนิต ให้สินเชื่อไม่เกินรายละ 300,000 / ครัวเรือน ดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ โดยที่ประชาชนจ่ายร้อยละ1 รัฐจ่ายร้อยละ 3 ใช้งบประมาณทั้งหมด 4,600 ล้านบาท และรัฐตั้งเป้า 1 – 1.5 ล้านยูนิต ให้เงินอุหนุน 5 ปี งบประมาณตกปีละ 16,000 ล้านบาท
 โดยที่ประโยชน์จากโครงการนี้คือ คนจนมีบ้านอยู่อาศัยที่ถูกต้องตามโครงสร้างผังเมือง ให้ความมั่นคงเรื่องของระยะเวลาในการอยู่อาศัย ไม่เกิดชุนชนแออัด เป็นที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะ เป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อย แต่ขาดที่อยู่อาศัย และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ มีการซื้อ – ขาย วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง และการจัดหาที่ดิน นับเป็นการแก้ปัญหาให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ในจังหวัดเชียงใหม่เองก็มีการใช้วิธีการรื้อย้าย และสร้างชุมชนใหม่ที่อยู่บริเวณเดิม มีชุมชนนำร่องคือ ชุมชนกำแพงงาม ซึ่งเป็นชุมชนที่สิ่งก่อสร้างโบราณสถานอยู่ด้วย ทางกรมศิลปากรอนุญาตให้ปรับปรุงได้ โดยตั้งแต่ปี 2542 ทำปรับปรุงทีละด้าน มีการสร้างทางเดินชุมชน เก็บขยะ ลอกคลองแม่ข่า มีงบประมาณที่ลงขันกันเอง และตั้งกองทุนกู้ไปซ่อมแซมบ้าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อที่จะให้ชุมชนได้อยู่ในที่ดินเดิม เป็นโครงการที่คนจนสามารถพัฒนาตัวเองได้ และทำการยื่นเรื่องไปยังกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ให้รับไปแก้ปัญหาระดับชาติ
ในการขุดลอกคูคลองแม่ข่าในชุมชนกำแพงงาม เป็นการปรับปรุงภูมิทัศน์ในชุนชนให้ดีขึ้น จากที่เป็นแหล่งน้ำเน่าเสีย ไม่เหมาะกับการใช้อุปโภคบริโภค ส่งกลิ่นเหม็น เป็นทัศนียภาพที่ไม่ดีต่อสังคม และจิตใจคนในชุมชน และในแต่ละจังหวัดที่เป็นเมืองใหญ่ควรกำหนดเขตผังเมืองเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากชุมชนแออัด หรือสลัมส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นมาจากการรุกล้ำพื้นที่ที่ผิดกฎหมาย และบางครั้งก็มีการบุกรุกที่ดินซ้ำ เกิดปัญหาการขัดแย้งกัน หรือมีการไล่ที่จากเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นสิ่งที่ยังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน
นับการแก้ปัญหาชุมชนแออัดโดยให้คนในชุมชนพัฒนาบริเวณชุมชนด้วยตนเอง เป็นการแก้ปัญหาถูกทางในสังคมของคนไทยไม่ว่าในเมืองไหน แต่อย่างไรก็ตามปัญหาชุมชนแออัดก็ยังคงอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ต้องอาศัยเวลาในการปรับปรุงสภาพชุมชน และโครงการบ้านเอื้ออาทรก็นับเป็นโครงการที่ทางรัฐบาลพยายามที่จะแก้ปัญหาผู้ที่ขาดแคลนที่อยู่อาศัย และเป็นการช่วยแก้ปัญหาชุมชนแออัดได้อีกทางหนึ่ง แต่สาเหตุของการเกิดปัญหาชุมชนแออัด หรือสลัมคือ คนส่วนใหญ่ในเมืองใหญ่ยังยากจน รายได้น้อย เมื่อเทียบกับอัตราค่าครองชีพที่สูงในเมืองใหญ่ ดังนั้นการจะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ยังต้องคำนึงถึงสาเหตุดังกล่าว และไม่ควรมองข้าม เพราะการแก้ปัญหาเรื่องของความยากจนของคนส่วนใหญ่ในประเทศเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่างไรก็ตามคนเรายังอยากที่จะกินดี อยู่ดี ไม่ขาดแคลนปัจจัย 4 ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือที่อยู่อาศัย

ยูนิเซฟเตือน เด็กในเมืองกำลังขาดโอกาส ความเหลื่อมล้ำปรากฏอยู่อย่างรุนแรงในเขตเมือง

การขยายตัวของเขตเมืองมีผลทำให้เด็กหลายร้อยล้านคนถูกตัดโอกาสในการได้รับบริการที่จำเป็นทางสังคม ยูนิเซฟเตือนในรายงานสภาวะเด็กโลก ปี 2555 ที่ชูประเด็นเรื่องเด็กในโลกของเมือง
การขยายตัวของเมืองเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ รายงานฉบับนี้ได้ชี้ว่าอีกภายในสองถึงสามปีเด็กส่วนใหญ่ของโลกจะเติบโตขึ้นในเมืองมากกว่าในชนบท เด็กที่เกิดในเมืองเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 60 ของการเพิ่มตัวของประชากรเมืองในปัจจุบัน 
“เมื่อเราคิดถึงความยากจน ภาพที่เรามักจะนึกถึงคือภาพเด็กในชนบท” นายแอนโทนี่ เลค ผู้อำนวยการบริหารของยูนิเซฟ กล่าว “แต่ในปัจจุบัน เด็กจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่อยู่ในสลัมและย่านเสื่อมโทรมเป็นประชากรที่ด้อยโอกาสและเปราะบางที่สุดของโลก ขาดแม้กระทั่งบริการพื้นฐานที่สุดและถูกตัดสิทธิที่จะมีชีวิตที่รุ่งเรือง”
“การตัดโอกาสเด็กที่อยู่ในสลัมไม่เพียงแต่เป็นการทำลายโอกาสที่เด็กเหล่านี้จะได้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพของตนเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำลายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสังคมที่ควรจะได้รับจากการมีประชากรที่มีการศึกษาและมีสุขภาพสมบูรณ์อีกด้วย”นายเลค กล่าว
เมืองใหญ่ให้โอกาสเด็กให้เข้าถึงโรงเรียน สถานบริการทางสุขภาพและสนามเด็กเล่นที่ทันสมัย แต่เมืองเดียวกันนี้ก็เป็นสถานที่ที่เกิดความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ การศึกษาและโอกาสในเด็กอย่างรุนแรงที่สุดเช่นเดียวกัน
โครงสร้างทางสาธารณูปโภคและบริการทางสังคมพัฒนาไม่ทันกับการขยายตัวของเมืองในหลายภูมิภาค ความจำเป็นพื้นฐานของเด็กไม่ได้รับการตอบสนอง ครอบครัวที่ยากจนมักต้องจ่ายเงินมากกว่าที่ควรเพื่อบริการที่มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน ตัวอย่างเช่น น้ำสะอาดที่คนในชุมชนยากจนต้องซื้อหาจากร้านค้ามีราคาสูงกว่าถึง 50 เท่าของชุมชนที่มั่งมีกว่าที่สามารถเข้าถึงน้ำประปาโดยตรง
ความขาดแคลนที่เด็กในชุมชนยากจนต้องประสบนั้นมักจะถูกบดบังโดยค่าเฉลี่ยทางสถิติที่วัดประชากรเมืองเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะมีหรือจน เมื่อใดก็ตามที่มีการนำค่าเฉลี่ยดังกล่าวมาใช้ในการกำหนดนโยบายและการจัดสรรทรัพยากร ความต้องการที่แท้จริงของคนที่ยากจนที่สุดก็จะถูกมองข้าม


การทำให้เมืองเหมาะสมกับเด็ก 
การมุ่งประเด็นเรื่องความเท่าเทียมนั้นจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับเด็กที่ด้อยโอกาสที่สุดไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม
ยูนิเซฟส่งเสริมให้รัฐบาลใช้เด็กเป็นศูนย์กลางในการวางแผนพัฒนาเมืองและขยายและพัฒนาคุณภาพบริการให้ทั่วถึงเด็กทุกคน ทั้งนี้จำเป็นต้องเริ่มจากการมีข้อมูลเฉพาะกลุ่มที่แม่นยำเพื่อเจาะหาความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในกลุ่มเด็กที่อยู่ในเขตเมืองและลดช่องว่างนี้ การขาดแคลนข้อมูลดังกล่าวเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าประเด็นเหล่านี้ถูกละเลยมานาน
ถึงแม้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยการดำเนินการของรัฐบาลในทุกระดับ แต่การลงมือปฏิบัติในระดับชุมชนนั้นเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ
รายงานของยูนิเซฟเรียกร้องให้สังคมให้ความสำคัญกับความพยายามระดับชุมชนในการแก้ไขปัญหาความยากจนให้มากยิ่งขึ้น และยกตัวอย่างความร่วมมือกันที่มีประสิทธิภาพกับประชากรเมืองที่ยากจน รวมทั้งเด็กและเยาวชน
ความร่วมมือดังกล่าวยังผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม เช่นโครงสร้างทางสาธารณูปโภคที่ดีขึ้นในเมืองริโอ เดอ จาเนโร และเซาเปาโล ในประเทศบราซิล อัตราการรู้หนังสือที่เพิ่มขึ้นในเมืองโกตากาชิ ประเทศเอกวาดอร์ และการเตรียมความพร้อมรับภัยพิบัติที่เข้มแข็งมากขึ้นในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ในกรุงไนโรบี ประเทศเคนย่า เด็กวัยรุ่นได้จัดทำแผนผังชุมชนแออัดที่ตนอาศัยอยู่เพื่อเป็นข้อมูลให้กับผู้วางนโยบายเมือง
Oportunidades ซึ่งเป็นโครงการอุดหนุนทางการเงินแก่ครอบครัวที่ยากจนที่เกิดขึ้นประเทศเม็กซิโกเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพให้ครอบครัวเหล่านี้สามารถส่งลูกไปโรงเรียนและใช้บริการทางสุขภาพนั้น ได้รับการขยายผลทั้งในเขตเมืองและเขตชนบท และเป็นตัวอย่างที่ดีที่ให้ประสบการณ์ที่มีคุณค่าสำหรับประเทศต่างๆ ที่จะรับโครงการนี้มาใช้ต่อไป
ในระดับโลก ยูนิเซฟและองค์การเพื่อการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ (UN-Habitat) ได้ร่วมงานกันมากว่า 15 ปีเพื่อดำเนินโครงการเมืองที่เป็นมิตรกับเด็ก (Child-Friendly Cities) สร้างความร่วมมือกันในสังคมเพื่อให้เด็กเป็นศูนย์กลางของวาระการพัฒนาเมือง และเพื่อจัดบริการและสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก เพื่อให้เด็กปลอดภัยขึ้นและมีวัยเด็กที่คุณค่าอย่างที่พวกเขาพึงจะมี
“การขยายตัวของเมืองเป็นความเป็นจริงของชีวิตและเราจำเป็นที่จะต้องลงทุนในเมืองให้มากขึ้น โดยเน้นให้ความสนใจเรื่องการให้บริการสำหรับเด็กที่มีความจำเป็นมากที่สุด” นายเลค กล่าว