เมืองในฝัน เมืองแห่งอนาคต เมืองอยู่สบาย

ถ้าจะบอกว่าความฝันของผมในอนาคต อยากทำอะไรมากที่สุด เพื่อชาติบ้านเมืองก็เห็นจะเป็นการออกแบบเมืองให้น่าอยู่ครับ ประชาชนอยู่สบาย “มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสุนทรียภาพ” ในการดำรงชีวิต ด้วยแนวความคิดสร้างสรรค์ และใช้การออกแบบเป็นแกนขับเคลื่อนให้สำเร็จ ความฝันที่อยากเห็น คือ เมืองในฝันที่ประกอบด้วย การจัดการเมืองในรูปแบบใหม่ การจัดสภาพแวดล้อมรอบทิศอย่างมีประสิทธิภาพ มีมุมมองที่งดงาม มีเส้นขอบฟ้าที่กลมกลืน คำนึงถึงหลักคิด 360 องศา เป็นเมืองที่ยั่งยืน ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกวัยอยู่ได้อย่างมีความสุข ได้รับการออกแบบที่สวยงามมี “คอนเซ็ปต์” ในการวางระบบเมืองอย่างเป็นเอกภาพ
เมืองในฝันที่ผมอยากเห็นดำเนินการได้ไม่ยากเย็นนัก เพียงแค่มีร่วมอุดมการณ์ อาจจะเป็นกลุ่มก้อนของสังคม ชุมชนที่เข้มแข็ง หรืออาจจะเป็นนักลงทุนที่มีวิสัยทัศน์ มองการณ์ไกล เพราะการลงทุนสร้างเมือง แม้อาจจะต้องใช้เงินทุนมหาศาล แต่การเริ่มต้นก็ไม่ได้ไกลตัวมากนัก เพียงแค่ใช้พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และความกล้าหาญ ซึ่งเข้าสู่กระบวนกาออกแบบที่ดี มีแนวทางชัดเจน ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ไม่อยากเย็น ถ้าจะถามว่าความยิ่งใหญ่ในชีวิตถ้าจะมีก็น่าจะมีได้สุดสุด “เมือง” คือ ผลงานที่ประจักษ์ชัดที่สุด อันมีผลต่อสังคม และประชาชนมากที่สุด และถ้าแนวคิดเมืองที่จะกล่าวดังต่อไปนี้ทำสำเร็จไปทุกหย่อมหญ้าทุกชุมชนประเทศไทย เราจะยิ่งใหญ่และน่าอยู่ขนาดไหน ดังแนวทางต่อไปนี้ครับ
1. การออกแบบเมืองอย่างมีสุนทรียภาพและแนวทางร่วมกัน
เราสามารถเนรมิตได้จากปลายปากกา โดยมีค่า “X” ร่วมกัน แต่ละชุมชนสามารถหาความเป็นเอกภาพในความหมายเดียวกัน เพื่อเชื่อมโยงทั้งหมดให้สอดคล้องกับ “ร่ม” เดียวกัน โดยมีศิลปวัฒนธรรมเป็นแกนในการรังสรรค์เมือง
จุดเริ่มอาจเริ่มได้ 2 กรณี คือ เริ่มจากชุมชน เดิมที่มีอยู่แล้วเข้าสู่กระบวนการจัดการให้งดงาม ต่อยอดจากวิถีเดิม ทั้งการอนุรักษ์ รักษาความงดงามในอดีต และการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ต้องไม่แปลกปลอม แต่กลมกล่อมไปด้วยกันทั้งเก่าและใหม่ หรือจากที่ดินเปล่าเข้าสู่กระบวนการออกแบบ วางผังอย่างมีทิศทาง ภายใต้ “ธีม” เดียวกัน โดยคำนึงถึงบริบท 360 องศา ที่ทุกปลายปากกาในการวางผัง คำนึงถึงทุกมิติ แล้วเนรมิตเสมือนการรังสรรค์จากพระเจ้าอย่างสุนทรียภาพ
2. การออกแบบที่คำนึงถึงการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างลงตัว สามารถพึ่งพาตัวเองได้
คำนึงถึงบริบทของที่ดินอันประกอบด้วยลักษณะภูมิประเทศภูมิอากาศ ทิศทางกระแสลม แดด ฝน สภาพดิน ธรณีวิทยา การเคลื่อนตัวของแผ่นดิน แนวทางน้ำบนดินและน้ำใต้ดิน ต้นไม้ พันธุ์พืช ฯลฯ ตลอดจนวิถีของคนที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
การออกแบบเมืองที่คำนึงถึงการประหยัดพลังงานมีการวางแผนเมืองเป็นวงจรชีวิต ทั้งแหล่งพลังงานสังเคราะห์จากแสงอาทิตย์ พลังงานที่แปรรูปจากน้ำและขยะ ตลอดจนการออกแบบเมืองให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ มีแหล่งน้ำที่ดี มีแหล่งผลิตอาหาร การแปรรูปผลิตภัณฑ์การเกษตรและการจัดการขยะอย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ได้ใหม่ ความฝันของผมก็คือ ความพยายามที่ทำให้เมืองอยู่รอดทุกวิกฤติการณ์ด้วยตัวเอง โดยไม่พึ่งพาปัจจัยภายนอก พูดได้ว่าแม้ติดเกาะก็สามารถรอดได้ด้วยตัวเอง
3. การออกแบบสาธารณูปโภค
เมืองที่อยู่สบายไม่จำเป็นต้องใหญ่โตมโหฬาร แต่การจัดการพื้นที่ต่างหากที่มีความสำคัญกว่า ซึ่งสำเร็จได้ด้วยการออกแบบอย่างเหมาะสมครบถ้วนแบบพอดี เช่น มีที่พักอาศัย บ้าน คอนโดมิเนียม มีพื้นที่การค้า โรงพยาบาลที่พอเหมาะ โรงเรียน มหาวิทยาลัย (ถ้ามี) ศูนย์การค้าขนาดย่อม ศาสนสถานตามความเชื่อ ศูนย์การเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์ สถานบันเทิง โรงแรม สถานที่นันทนาการ และสันทนาการ พื้นที่สำหรับคนทุกวัย สำนักงานต่างๆ เป็นต้น โดยอยู่ภายใต้แนวความคิดร่วมกันและเส้นสายที่สอดคล้องกันเหมือนบทกวีเดียวกัน
การออกแบบเมืองคือความฝันของผมครับ อยากเห็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุด เพราะเป็นที่เพาะเป็นที่บ่มมนุษย์ให้มีคุณภาพ ความสำเร็จไม่ใช่อยู่ที่ความยิ่งใหญ่ แต่อยู่ที่ความพอดี พอเพียง และงดงาม
“เมืองอารยะ” ที่ควรจะเกิดขึ้นทั้งปรับปรุงเมืองที่ทรุดโทรมให้ดีขึ้น หรือจะสร้างสรรค์ใหม่ด้วยมือของ “เรา” นักลงทุนควรจะมองให้ไกลๆว่าอะไรควรทำและฝากไว้ให้กับโลกก่อนจากโลกนี้ไป ควรจะสร้างตำนานหรือจะสร้างอนาคตให้แก่โลกมรดกก่อนจากโลกนี้ไปควรจะเป็นความดีหรือจะเป็นความเลวให้คิดเอาเองครับ
หากเมืองในอนาคตที่เป็นแนวคิดแบบ ผศ.เอกพงษ์ ตรีตรง น่าจะเป็นเมืองที่มีการพัฒนาแบบยั่งยืน ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแต่ไม่เน้นความเจริญหรูหราของเมืองที่เต็มไปด้วยย่านธุรกิจการค้า แต่เน้นพัฒนาด้านชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้เข้ากับสภาพแวดล้อมธรรมชาติท่ามกลางความสะดวกสบายด้านสาธารณูปโภค จะส่งผลให้ธุรกิจด้านอสังหาฯได้รับความนิยมในช่วงแรกแต่จะลดลงเมื่อพื้นที่ของเมืองได้รับการพัฒนาจนหมดแล้วพอกับสัดส่วนที่ได้วางไว้
ตอบลบ