วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

หากคุณต้องการจะลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์...ต้องทำอย่างไร

      ด้วยการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นการลงทุนที่ต้องอาศัยเม็ดเงินที่ค่อนข้างสูง แต่ถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่มั่นคง และมีธรรมชาติที่ต่างจากสินทรัพย์อื่นๆนั่นก็คือ ยิ่งใช้มาก ยิ่งเป็นการประกันราคา เพราะมีคนช่วยดูแลรักษาสภาพไม่ให้เสื่อมโทรม ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันไม่ได้หยุดอยู่แค่คนที่มีอายุและประสบการณ์มากเท่านั้น นักลงทุนหน้าใหม่ๆ รวมถึงกลุ่มคนอายุน้อยก็หันมาให้ความสนใจลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์กันเป็นจำนวนมาก จึงทำให้อสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบของ “ คอนโด พร้อมอยู่ ” กลายเป็นที่นิยมกันมาก นักลงทุนสามารถลงทุนได้ทั้งระยะสั้น ประเภทขายดาวน์หรือขายใบจอง หรือรอให้โอนเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยขายต่อก็ทำได้ไม่ยาก ยิ่งโดยฉพาะโครงการ คอนโดติดรถไฟฟ้า สะดวกสบายในการเดินทาง ยิ่งเป็นที่ต้องการไม่ว่าจะขึ้นหลายต่อหลายโครงการก็ล้วนแต่มีผู้จองเต็มแทบทุกโครงการ หรือถ้าหากคุณมีเงินเย็น การลงทุนระยะยาวที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า ซื้อมาแล้วปล่อย คอนโดให้เช่า เก็บกินค่าเช่าได้ยาวๆหรือจะเก็บไว้เป็นสินทรัพย์ก็ล้วนแต่ทำกำไรให้นักลงทุนได้อย่างงามเลยทีเดียว
     แต่พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โครงการใดหรือในรูปแบบใดนั้น คุณควรศึกษาข้อมูลของอสังหาริมทรัพย์นั้นๆอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน เปรียบเทียบข้อมูลจากหลายแหล่งที่เชื่อถือได้ รวมถึงจะต้องได้เห็นของจริงทุกครั้งก่อนการตัดสินใจซื้อ และที่สำคัยเหนือสิ่งอื่นใด ประเมินศักยภาพของตัวเองเสียก่อน เนื่องจากเราไม่สามารถทราบได้เลยว่า อสังหาริมทรัพย์ที่คุณเลือกลงทุนไปนั้น ไม่ว่าจะแบบ SHORT TERM หรือ LONG TERM จะให้ผลตอบแทนแก่คุณได้เมื่อไหร่ บางครั้งอาจจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็สามารถให้ผลตอบแทนคุณได้ หรืออาจจะต้องถือครองนานหลายปี ดังนั้นหากสายป่านคุณไม่ยาวไม่เพียงพอที่คิดว่าจะให้ผลกำไร ก็อาจจะกลายเป็นต้องสูญเสียเงินที่ลงทุนไปโดยไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็เป็นได้

ที่มา :

วิธีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์

วิธีเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 
           ปัจจุบันผู้ที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งทางการเงินอาจมองว่าการกระจายเงินไปลงทุนสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น หุ้น กองทุนรวม พันธบัตรรัฐบาล ก็เป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงยังมีสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด ช่วยสู้กับอำนาจเงินเฟ้อเป็นอย่างดี และเป็นที่ต้องการของมนุษย์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สินทรัพย์ที่ว่านี้ก็คือ อสังหาริมทรัพย์ พูดอย่างนี้หลายท่านอาจคิดว่าอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องของคนรวย แท้จริงแล้วยังมีช่องทางลงทุนอื่นที่เปิดโอกาสให้กับผู้ที่มีความสนใจได้เหมือนกัน
            การเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบ่งออกได้กว้างๆ เป็นสองรูปแบบคือ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทางตรง และการลงทุนผ่านทางตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งก็จะมีทั้งหุ้น และหน่วยลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ โดยการลงทุนทางตรง คือการได้มาซึ่งสิทธิ์ในการครอบครอง เช่น การซื้อที่ดินเปล่า บ้านจัดสรร หรือคอนโดมิเนียม โดยคาดหวังผลกำไรจากราคาที่สูงขึ้น หรือรายได้ในรูปแบบของค่าเช่า แต่สำหรับผู้ที่มีเงินลงทุนไม่มากนัก อาจเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทางอ้อมผ่านการซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะมีการเสนอขายครั้งแรก (IPO) ผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมและธนาคารตัวแทน หลังจากนั้นจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ลงทุน กรณีที่ผู้ลงทุนจองซื้อไม่ทันในช่วงเสนอขายครั้งแรก สามารถลงทุนผ่านการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ได้
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทางตรง มีปัจจัยที่ผู้ลงทุนควรพิจารณาได้แก่ สภาพคล่อง ทำเล และสิทธิประโยชน์ทางภาษี ในยามตลาดอสังหาริมทรัพย์เฟื่องฟู การซื้อขายเปลี่ยนมือเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เพราะตลาดเป็นของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย คนซื้อก็ซื้อได้ คนขายก็ขายได้กำไร แต่หากภาวะดังกล่าวหมดไปอาจเกิดภาวะ ติดที่ เข้ามาแทน คือ ซื้อไปแล้วไม่มีคนซื้อต่อ จนทำให้ผู้ลงทุนขาดสภาพคล่องทางการเงิน สำหรับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อหารายได้จากค่าเช่า การพิจารณาเพียงโครงการที่มีทำเลดีเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ ควรต้องคำนึงด้วยว่าปริมาณการปล่อยเช่า (อุปทาน) ในพื้นที่นั้นมีมากแล้วหรือยัง โครงการบางแห่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดี เช่น ติดรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน แต่หาผู้เช่ายากเพราะมีจำนวนโครงการสร้างใหม่มากมายจนล้นตลาด จนเกิดการแข่งขันทางด้านราคา ส่งผลให้ผลตอบแทนจากการลงทุนลดลง การคิดผลตอบแทนจากการให้เช่าทำได้ไม่ยาก เช่น กรณีต้องการผลตอบแทนประมาณ 6% ต่อปี สำหรับคอนโดฯ ราคา 1,500,000 บาท สามารถให้เช่าได้ประมาณเดือนละ 7,500 บาท (1,500,000x6%/12) อย่างไรก็ดี อัตราค่าเช่าจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับทำเล สิ่งอำนวยความสะดวก ชื่อเสียงโครงการ รวมถึงความพอใจของทั้งสองฝ่าย
 ทั้งนี้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรงที่มีการขอสินเชื่อ ผู้ลงทุนยังสามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้มาหักลดหย่อนภาษีเงินได้สูงสุดที่ 100,000 บาทอีกด้วย และถ้าเป็นการซื้อบ้านหลังแรก ยังสามารถนำเงินค่าซื้อมาหักลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้อีก 10% ของมูลค่า แต่ไม่เกิน แสนบาทภายในระยะเวลา ปี ตามนโยบายของรัฐบาล  (สำหรับบ้านหลังแรกที่มีราคาไม่เกิน ล้านบาท และซื้อระหว่างวันที่ 21 .. 2554 – 31 .. 2555) ทำให้ประหยัดภาษีไปได้มาก ยกตัวอย่างเช่น ซื้อคอนโดฯ หลังแรกในราคา 4,000,000 บาท นอกเหนือจากการนำดอกเบี้ยเงินกู้มาหักลดหย่อนภาษีตามจริงได้ไม่เกิน 100,000 บาทแล้ว ยังสามารถนำเงินค่าซื้อคอนโดฯ มาหักลดหย่อนภาษีได้เพิ่มเติมอีก10% หรือ 400,000 บาท ภายในระยะเวลา ปี หรือเท่ากับว่าลดหย่อนภาษีได้อีกปีละ 80,000 บาท(400,000 บาท / 5 ปีซึ่งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรงนี้ จะช่วยประหยัดภาษีได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับฐานภาษีของผู้ลงทุนเองด้วย
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทางอ้อม ผ่านการซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวม เช่นเดียวกับการลงทุนประเภทอื่น ที่ต้องคำนึงถึงโอกาสในการสร้างรายได้ในปัจจุบัน อนาคต รวมถึงโอกาสในการปรับเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ที่กองทุนนำเงินไปลงทุนว่ามีมากน้อยแค่ไหน กองทุนอสังหาริมทรัพย์จะนำเงินไปลงทุนสินทรัพย์โดยตรง เช่น อาคารสำนักงาน เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ รีสอร์ท สนามบิน โรงงาน โกดัง ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ลักษณะกองทุนจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ แบบซื้อขาด (Freehold) และแบบสิทธิการเช่า (Leasehold) การจะเลือกลงทุนในกองทุนแบบไหนขึ้นกับตัวคุณเองว่าชอบซื้อหรือชอบเช่า แต่ในระยะยาวราคาของกองทุนรวมแบบสิทธิการเช่ามีโอกาสลดลงตามสิทธิการเช่าที่ลดลง การลงทุนในกองทุนรวมประเภทนี้นอกจากจะมีตลาดรองไว้เป็นสภาพคล่องให้กับนักลงทุนที่ต้องการซื้อขายแล้ว ผู้ลงทุนมีโอกาสรับเงินปันผลซึ่งโดยทั่วไปจะมีไม่เกินปีละ ครั้ง ดังนั้น ในการเลือกลงทุน ท่านสามารถพิจารณาเลือกกองทุนได้จากประวัติการจ่ายเงินปันผล และควรพิจารณาต้นทุนค่าใช้จ่ายกองทุนด้วยว่ามีอะไรบ้าง เพราะผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับคือผลตอบแทนหลังจากหักค่าใช้จ่ายของกองทุน

โดย : วสุ ศรีธิมาสถาพร, CFP ฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล  ธนาคารกสิกรไทย

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

39 ทำเลมีตำหนิ รู้ไว้เพื่อเลี่ยง

1. ทำเลอยู่บนทางสามแพร่ง ถือเป็นทำเลอันตรายที่อัปมงคลมากตามความเชื่อของทั้งไทยและจีน
2.บ้านที่อยู่ในแนวสายไฟแรงสูงผ่าน ผลการวิจัยล่าสุดในออสเตรเลียพบว่าคนที่อาศัยอยู่ใกล้กับบริเวณที่สายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่าน มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งมากโดยเฉพาะโรคลูคีเมีย (เม็ดโลหิตขาวมาก) ต่อมน้ำเหลือง และโรคอื่น ๆ ในช่วงบั้นปลาย
3. ทำเลอยู่ตรงข้ามกับวัดและศาลเจ้า ไม่นิยมกัน เพราะวัดมักมีงานศพอยู่บ่อย ๆ จึงไม่เป็นมงคล ขณะที่ศาลเจ้ามักมีเสียงดังอึกทึก และคนจีนเชื่อกันว่าการอยู่ใกล้วัดและศาลเจ้าจะทำให้ทำมาค้าขายแล้วไม่ขึ้น
4.เป็นที่ดินที่ข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์จากบทบัญญัติทางกฎหมายและรูปร่างที่ดิน ข้อจำกัดต่าง ๆ ในที่นี้ เช่น เทศบัญญัติ ผังเมือง หรือกฎหมายการควบคุมการใช้ประโยชน์ เป็นต้น
5. ที่ดินที่มีรูปร่างผิดปกติและมีลักษณะไม่ได้ เช่น สามเหลี่ยมชายธง ที่ดินที่หน้าแคบและมีส่วนลึก (ลักษณะคล้ายไม้บรรทัด) หรือที่ดินรูปทรงผิดปกติในรูปลักษณ์ต่าง ๆ
6. เป็นที่ดินที่ถูกขุดหน้าดินไปและมีระดับต่ำ ทำเลเหล่านี้เมื่อนำมาทำประโยชน์จะมีความเสี่ยงจากดินถล่ม ปัญหาน้ำท่วม และปัญหาปลูกพืชอะไรไม่ได้
7. อยู่ใกล้หรือติดกับสถานที่ที่ไม่เป็นมงคล เช่น ติดป่าช้าหรือเมรุเผาศพ ทำเลเหล่านี้จะมีปัญหาด้านวิวทิวทัศน์ ทำให้เกิดความน่ากลัว หดหู่ และบางครั้งอาจก่อให้เกิดมลภาวะทางกลิ่นได้
8. ติดโรงแรมม่านรูดและอาบอบนวด เชื่อกันว่าเป็นทำเลอโคจร ผู้อยู่อาศัยในย่านนี้จะขาดความสงบ
9.อยู่ใกล้กับกองขยะ แหล่งกำจัดขยะ หรือโรงงานที่มีกลิ่นจัดที่ปล่อยสารพิษออกมา ผู้อยู่อาศัยในทำเลลักษณะนี้จะขาดความสุขกายสบายใจ เนื่องจากจะเผชิญปัญหามลภาวะทางกลิ่นรบกวนอยู่ตลอดเวลา
10.ใกล้สิ่งรบกวนซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะทางเสียง เช่น ทางขึ้นลงของเครื่องบิน หรือทางรถไฟ จากผลการศึกษาล่าสุดในสวีเดนพบว่าจะทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง เพราะเสียงดังเข้าไปรบกวนความสามารถในการคิดของคนเรา รบกวนการพักผ่อนนอนหลับ ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้นในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
11.ที่ดินติดภาระผูกพันอยู่ เช่น ภาวะจำยอม จดทะเบียนเช่าระยะยาว และสิทธิเก็บกิน ฯลฯ ภาระผูกพันเหล่านี้จะมีผลลิดรอนศักยภาพการใช้ประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์ในฝั่งเจ้าของให้น้อยลงไปโดยปริยาย
12.ที่ดินที่ถูกน้ำเซาะ ตลิ่งชันที่ดินติดน้ำ ลักษณะนี้มีโอกาสพังทลายและสูญหายได้ นอกจากนั้นอาจมีผลทำให้ผู้อยู่อาศัยหรือผู้ใช้ประโยชน์บนที่ดินมีอันตรายได้
13.ทำเลอยู่ในแนวเวนคืน ทำเลแบบนี้วันดีคืนดีมีโอกาสถูกทางราชการมายึดได้ตลอด
14.ที่ดินที่เป็นบ่อเลี้ยงปลาเก่า จะมีปัญหาดินพรุ ถมแล้วไม่แน่และดินขาความมั่นคงได้ในอนาคต
15.ทำเลอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม ที่ดินเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นที่ดินมีข้อจำกัดในการใช้ประโยชน์ รวมถึงมีข้อจำกัดในการโอนเปลี่ยนกรรมสิทธิ์
16.ที่ดินอยู่ในที่อับ เช่น ที่ดินที่เป็นซอยตันและหรือทำเลที่คนเดินทางข้ามไปถึง ทำเลเหล่านี้มักทำกิจการอะไรไม่ได้ และการใช้อยู่อาศัยจะมีปัญหาไม่ปลอดภัยได้
17.ที่ดินที่อยู่ในเขตชุมชนสลัม มักเป็นทำเลที่มีมลภาวะสูง มีปัญหาโจร ขโมยและอาชญากรรมเยอะ
18. บ้านที่บรรยากาศร้อนอบอ้าว เช่นอยู่ในดงตึกและไม่มีลมพัดผ่าน หรือเป็นทำเลที่มีลมพัดผ่านแต่ก็เป็นลมร้อนตลอด ทำเลแบบนี้อยู่อาศัยแล้วจะไม่เป็นสุขและต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากเป็นพิเศษ
19.อยู่ใกล้สถานเริงรมย์กลางคืน ต่าง ๆซึ่งจะทำให้ในเวลาค่ำคืนไม่มีความสงบ
20. ทำเลที่ดูเหมือนดี แต่กลับไม่ใช่ทำเลที่ดีจริงหรือให้ความสะดวกได้จริง เช่น ทำเลติดรถไฟฟ้า แต่เป็นติดรางรถไฟฟ้าไม่ใช่ติดสถานีรถไฟฟ้า โดยตั้งราคาขายเทียบเท่าทำเลดี ๆ ทั้งที่ทำเลที่ดีจริง ๆ ได้แก่ ทำเลที่จะต้องอยู่ห่างสถานีไม่เกิน 200-300 เมตร หรือทำเลที่อยู่ในวิสัยที่จะเดินทางโดยทางเท้าไปได้เท่านั้น
21.  บ้านผีสิง รวมถึงบ้านที่เคยเกิดสิ่งไม่ดีและเคยมีการตายโหงเกิดขึ้น ทำเลแบบนี้น่าแปลกตรงที่มักมีผลทำให้ผู้อยู่อาศัยอยู่แล้วไม่มีความสุข และมักมีแต่เรื่องซวย ๆ เกิดขึ้นเสมอ
22. ทำเลที่อยู่ห่างไกลชุมชน ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ไกลปืนเที่ยง เพราะเป็นทำเลที่อาจเกิดภัยอันตรายขึ้นได้
 23. บ้านที่อยู่ในทำเลที่ไม่สอดคล้องกับบ้านส่วนใหญ่  เช่น เป็นบ้านใหญ่ชั้นดีราคาแพงแต่กลับไปตั้งในย่านคนจน ซึ่งบ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านขนาดเล็กและมีราคาถูก ทำเลที่ขัดแย้งแบบนี้จะมีผลทำให้บ้านมีความล่อแหลม ไม่ปลอดภัย และเกิดความเสี่ยงในการถูกโจรกรรมมากขึ้น
24.ทำเลที่มีโจรผู้ร้ายชุกชุม โดยพิจารณาได้จากสถิติการเกิดการโจรกรรมและอาชญากรรมในท้องที่
25.บ้านอยู่ติดโรงพยาบาล  ทำเลลักษณะนี้อยู่แล้วจะขาดความสุขกายสบายใจ เนื่องจากตลอดวันมีแต่จะเห็นคนป่วย คนเจ็บเข้าออกโรงพยาบาลอยู่ตลอดเวลา
26.ทำเลที่ตั้งอยู่บนถนนในช่วงทางโค้งหรือช่วงอันตรายของถนน เพราะอยู่อาศัยแล้วจะมีอันตรายได้
27. ทำเลที่อยู่ใกล้สี่แยกไฟแดง เป็นทำเลที่ไม่ค่อยดี เพราะการจราจรจะแออัดอยู่เสมอ ทำให้มีข้อจำกัดในการทำประโยชน์รวมถึงการจอดรถ
28.ทำเลที่มีหม้อไฟฟ้าแรงสูงตั้งอยู่ จะมีความเสี่ยงในการที่หม้อแปลงจะระเบิด ทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้
29. ร้านค้าทำเลอยู่ใต้สะพานลอย บริเวณทางแยกต่าง ๆ จะมีผลทำให้ความคึกคักของลูกค้าน้อยลง
30.อยู่ใกล้ส้วมสาธารณะ  จะมีปัญหามลภาวะทางกลิ่น และถือเป็นวิวทิวทัศน์ที่คนไม่อยากเห็นกัน
31.ทำเลที่รถติดมาก ๆ  ทำเลเหล่านี้อยู่แล้วจะขาดความสะดวกสบาย ทำให้เกิดความเครียดขึ้นได้
32. ทำเลที่น้ำประปาและไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง จะทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นได้
33.  ทำเลที่ถนนแคบ จะทำให้ไม่สะดวกในการอยู่อาศัย การเดินทางเข้าออกและไม่สามารถจอดรถได้
34. ทำเลที่ประชากรมีแนวโน้มน้อยลง เนื่องจากมีการอพยพออกนอกพื้นที่ทำเลลักษณะนี้ปกติจะทรุดโทรมเร็วกว่าย่านอื่น และราคาอสังหาริมทรัพย์จะเพิ่มขึ้นน้อยมาก ดีไม่ดีอาจลดลงด้วย
35.ทำเลที่มีบ้านประกาศขายอยู่อย่างดาษดื่น ๆ  ถือเป็นตัวชี้ได้เป็นอย่างดีว่า บริเวณนั้นไม่น่าอยู่ หรือมีปัญหาอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในทำเลบริเวณนั้น
36. ทำเลที่น้ำท่วม ซึ่งจะทำให้อาศัยแล้วไม่สะดวกและขาดความสุขกายสบายใจ
 37.ทำเลที่สกปรกและขาดสุขลักษณะ ทำเลแบบนี้อยู่แล้วอาจมีปัญหาสุขภาพได้
38. ทำเลที่มีปลวกมากบริเวณที่มีปลวกเยอะ ๆ  มักเป็นทำเลที่กำจัดปลวกได้ยาก ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดไล่ปลวกอยู่เสมอ ทั้งยังอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพตามมาแก่ผู้อยู่อาศัยได้ด้วย
39.บ้านที่อยู่ติดหรือใกล้กับเพื่อนบ้านที่ไม่ควรอยู่ใกล้ เช่น ร้านขายโลกศพ ร้านซ่อมรถ ร้านทำประตูเหล็ก-มุ้งลวด-เหล็กดัด ร้านขายสัตว์ปีก ร้านขายไข่ เป็นต้น ทำเลเหล่านี้มักมีปัญหามลภาวะด้านต่าง ๆ ตามมา

ที่มา: istyleproperty.com


วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทำเลบ้านแบบใดจึงเรียกว่าดี


การเลือกทำเลให้ถูกใจ ต้องมีอะไรบ้าง
“ทำเล” เป็น หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดที่ใช้ในการเลือกที่อยู่อาศัย  ปกติแล้วคนเรามักเลือกทำเล โดยอาศัยความคุ้นเคยที่มีกับทำเลมาก่อนเป็นสำคัญ  อาจมาจากความที่เคยอยู่ในบริเวณนั้นมาก่อน หรือเคยมาทำธุระส่วนตัวในบริเวณนั้นเป็นประจำ ซึ่งเทคนิคการเลือกทำเลเช่นว่านี้ จัดเป็นเทคนิคที่ไม่เหมาะสมในการนำไปปฏิบัติ โดยคุณควรจะพิจารณาองค์ประกอบของทำเลดังนี้

1. สภาพภูมิอากาศ
ได้แก่อุณหภูมิ ปริมาณฝน หมอก ความชื้น และทิศทางลม เป็นต้น ประเด็นนี้ความจริงเกี่ยวพันมากกับการอยู่อาศัยทั้งในแง่ของภาวะอารมณ์และสุขภาพ รวมถึงความสะดวกในการทำกิจกรรมนอกบ้าน   การไปสำรวจทำเลด้วยตัวเอง เพื่อสัมผัสภูมิอากาศ หลายๆ ครั้ง ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน  วิธีนี้จะทำให้คุณทราบข้อมูลเหล่านี้ได้ดีกว่าวิธีสอบถามจากคน อื่น
2. กิจกรรมต่างๆ ในท้องถิ่น 
กิจกรรมต่าง ๆ เช่น สนามกอล์ฟ สนามเทนนิส บ่อตกปลา สนามขี่ม้า สระว่ายน้ำ ทะเลสาบคลองพายเรือ ชายหาด พื้นที่ดูนก และสถานออกกำลังกาย  ในเรื่องการเปรียบเทียบทำเลนั้น มีหลักอยู่ว่าทำเลใดก็ตามยิ่งมีกิจกรรมต่างๆ เหล่านี้มาก และหลากหลายเท่าไร จะเป็นผลให้ทำเลนั้น มีความน่าสนใจมากขึ้น
3. ใครเป็นผู้อยู่อาศัยในทำเลนั้น 
เพื่อนบ้านมีความเกี่ยวพันความความสุขและความสงบในการอยู่อาศัยอย่างมาก   เพื่อนบ้านที่ดีและมีคุณภาพ เป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ทำเลบางทำเลกลายเป็นทำเลที่น่าสนใจไปได้ ในทางกลับกัน ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ทำเลที่น่าจะดีบางแห่ง กลับกลายเป็นทำเลที่ไม่น่าสนใจไปได้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรต้องตรวจสอบให้ทราบแน่ชัดว่า ทำเลบ้านที่เราสนใจนั้น ใครเป็นผู้อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น เป็นคนดีและมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด 
4. ความปลอดภัยในทรัพย์สินและการอยู่อาศัย
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวพันกับความสงบสุขในการอยู่อาศัยมาก จึงไม่ควรมองข้ามประเด็นนี้ไป การเลือกทำเลจำเป็นต้องมีการตรวจสอบดูประวัติอาชญากรรม ในบริเวณนั้นว่า มีจำนวนและความถี่มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ การตรวจสอบอาจทำได้โดยการตรวจเช็คกับสถานีตำรวจและจากการพูดคุยสอบถามกับผู้อยู่อาศัยในบริเวณนั้นก็ได้

5. ความสะดวกในการเดินทางเข้าถึง
คือ ดูความใกล้ ไกล ในการเดินทางไปถึง ปกติแล้วทำเลที่อยู่ไกล และมีความไม่สะดวกในการเดินทาง มักมีผลกระทบในทางลบตามมาหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง การเสียเวลา และขาดความสะดวกในการทำกิจกรรมต่างๆ รวมถึงข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการต่างๆ ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งทำให้กระทบต่อมูลค่าของทำเลในที่สุด

6. เศรษฐกิจในบริเวณนั้น 
บริเวณที่สามารถนำมาพัฒนาทำประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจได้มากกว่า ทำเลนั้นก็มักจะมีมูลค่าที่สูงกว่าเสมอ ดังนั้น จึงควรพิจารณาตรวจสอบกิจกรรมทางธุรกิจที่เป็นส่วนประกอบของเศรษฐกิจในท้องที่ให้ทราบอย่างแน่ชัด
7. ประเภทของบ้านที่มีอยู่ในบริเวณนั้น
โดยดูว่าเป็นบ้านเดี่ยว ตึกแถว ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม หรืออพาร์ทเมนท์ ประเภทบ้านในแต่ละทำเล เป็นตัวบ่งบอกให้ทราบถึงประเภทและคุณภาพของผู้อยู่อาศัยในบริเวณนั้นได้เป็นอย่างดี และมักมีผลเกี่ยวพันต่อสภาพแวดล้อมของทำเลไปโดยปริยาย ยกตัวอย่างเช่น  ถ้าบ้านในบริเวณนั้นทั้งหมดเป็นบ้านเดี่ยวที่มีขนาดพื้นที่ ค่อนข้างใหญ่ จะมีผลทำให้ทำเลนั้นเป็นพื้นที่ที่มีความสงบในการอยู่อาศัยมากกว่าพื้นที่ใน ย่านที่เป็นทาวน์เฮาส์และคอนโดมิเนียม หรือ อพาร์ทเมนท์
8. ค่าครองชีพสูงหรือต่ำมากน้อยเพียงใด
ปัจจัยค่าครองชีพมีความเกี่ยวพันกับการอยู่อาศัยโดยตรงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งไม่ควรมองข้ามประเด็นนี้ไป ปกติแล้ววิธีง่ายๆ ในการตรวจเช็คค่าครองชีพว่าสูงหรือต่ำมากน้อยเพียงใด จะอาศัยการเปรียบเทียบราคาของใช้จำเป็นในร้านค้าท้องถิ่น เช่น ราคาก๊าซ  ราคายา ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าบริการดูแลความสะอาดบ้าน และบริการอื่นๆ ว่ามีราคาสูงต่ำมากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับบริเวณอื่น
9. สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการภาครัฐ
ทำเลที่สามารถใช้บริการต่างๆ เหล่านี้ได้มากกว่า ย่อมหมายถึงประโยชน์ส่วนเพิ่มที่จะตกอยู่กับผู้อยู่อาศัยในทำเลเหล่านั้นไปโดยปริยาย สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการภาครัฐเหล่านี้ เช่น ประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ โรงพยาบาล สถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง ตลาด โรงเรียน ห้องสมุด สวนสาธารณะ ศูนย์สุขภาพ ขนส่งมวลชน และท่อระบายน้ำ เป็นต้น
10. พื้นที่หรือทำเลมีข้อจำกัดอะไรบ้าง
เป็นการตรวจสอบเพื่อใช้เปรียบเทียบความคล่องตัวในการทำประโยชน์ของทำเลแต่ละ ทำเล เพราะทำเลบางทำเลอาจมีข้อจำกัดในการปลูกสร้าง หรือข้อจำกัดในเรื่องการใช้ประโยชน์ จากกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นจากหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐได้

วันอาทิตย์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ประโยชน์ด้านใดได้บ้าง

 ด้านเศรษฐกิ เพื่อช่วยเหลือในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ เช่น การวางแผนการใช้ทรัพยากรในการผลิต การวิเคราะห์ความพร้อมของวัตถุดิบและแรงงาน รวมถึงความต้องการของประชากรในแต่ละพื้นที่จากข้อมูลพื้นฐาน
 
ด้านคมนาคมขนส่ง  GIS สามารถใช้ในการเพิ่มประสิทธิผลทางด้านการคมนาคมขนส่ง เช่น การวางแผนเส้นทางการเดินรถประจำทาง การวางแผนการสร้างเส้นทางคมนาคม ทางรถไฟ ทางด่วน ทางเดินเรือและเส้นทางการบิน ฯลฯ ได้เป็นอย่างดี


ด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน การจัดสาธารณูปโภคพื้นฐานไปยังพื้นที่ต่างๆ ตามความต้องการของประชาชนนั้น GIS ได้เข้ามามีบทบาทอันสำคัญในการวางแผนในการสร้างถนน การเดินสายไฟฟ้า ท่อประปา รวมถึงการวางแผนในการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคพื้นฐานเหล่านี้


ด้านการสาธารณสุข การประยุกต์ใช้ GIS ในการบริหารจัดการภาครัฐกับงานทางด้านสาธารณสุข มีใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ เช่น การระบุตำแหน่งของผู้ป่วยโรคต่างๆ การวิเคราะห์การแพร่ของโรคระบาด หรือแนวโน้มการระบาดของโรค ซึ่งการประยุกต์ใช้ GIS จะช่วยให้ผู้บริหารสามมารถวางแผนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาทางด้านสาธารณสุขได้อย่งมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น


ด้านการบริการชุมชน จะเกี่ยวข้องในส่วนของการให้บริการของรัฐกับประชาชนโดยทั่วๆไป ซึ่งประชาชนในแต่ละพื้นที่ จะมีความต้องการบริการจากภาครัฐกับประชาชนโดยทั่วๆไป ซึงประชาชนในแต่ละพื้นที่ จะมีความต้องการบริการจากภาครัฐแตกต่างกันไป การใช้ GIS จะช่วยให้ผู้บริหารทราบถึงความต้องการของ ประชาชนโดยการให้บริการสาธารณะได้อย่างเป็นพลวัตร  


ด้านการบังคับใช้กฎหมายและการป้องกันอาชญากรรม มีการใช้กันอย่างแพร่หลาย เช่น การกำหนดจุดเสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรมเพื่อตั้งป้อมตำรวจ การวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอาชญากรรม โดยการบันทึกจุดที่เกิดอาชญากรรมไว้ แล้วนำมาวิเคราะห์หาพื้นที่เสี่ยง ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายสมารถวางแผนให้ความสำคัญกับบางพื้นที่ที่ต้องทำการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อลดปัญหาอาชญากรรมได้ 


ด้านการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน การประยุกต์ใช้ GIS เพื่อช่วยในการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน เป็นหนึ่งในกิจกรรมการประยุกต์ใช้ GIS ที่แพร่หลายที่สุด เพราะความสามารถในการวิเคราะห์ ประเมินผล ปละนำเสนอข้อมูลต่างๆในเชิงพื้นที่ที่จำเป็นต่อการวางผังเมือง และการจัดการเมืองสมารถกระทำได้อย่างสะดวก ทั้งการวิเคราะห์และประเมินศักยภาพในการใช้ประโยชน์ของแต่ละพื้นที่
ด้านการจัดเก็บภาษี การประยุกต์ใช้ GIS เพื่อช่วยในการจัดเก็บภาษี โดยอาศัยข้อมูลแผนที่มาตราส่วนขนาดใหญ่ เช่น 1:1,000 ซึ่งสมารถมองเห็นขอบเขตของอาคาร เพื่อใช้ในการนำเข้าข้อมูลการชำระภาษีอากร ซึ่งภาครัฐสามารถทำการติดตาม ตรวจสอบผลการจัดเก็บภาษีได้โดยสะดวก เพราะ ข้อมูลของสถานประกอบการ บ้านเรือน ฯลฯ ที่ชำระค่าภาษีอากรต่างๆ แล้วจะสามารถแสดงให้เห็นความแตกต่างได้โดยเฉดสีบนแผนที่ ทำให้สามารถค้นหา หรือติดตามการชำระภาษีอากรได้สะดวก และทำให้การจัดเก็บภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น


ด้านสิ่งแวดล้อม การประยุกต์ใช้ GIS เพื่อทดลองสร้างแบบจำลองทางด้านสิ่งแวดล้อม มีใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ เช่น การสร้างแบบจำลองสามมิติแสดงการถล่มของภูเขา ซึ่งการสร้างแบบจำลองใน GIS จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำความเข้าใจกับลักษณะของพื้นที่ได้โดยง่าย และเป็นการเพิ่มการรับรู้แบบเสมือนจริงในรูปแบบของแบบจำลองสมมิติ ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดในการตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างยิ่ง


ด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินและภัยพิบัติ สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดในการจัดการในสภาวะฉุกเฉิน คือ การรับรู้ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องให้มากที่สุด เพื่อทำการตัดสินใจให้เร็วที่สุดผิดพลาดน้อยที่สุด และมีประสิทธิผลมากที่สุด GIS ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลในเชิงพื้นที่ได้อย่างทั่วถึงในเวลาอันรวดเร็ว รวมถึงรายละเอียดต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจำเป็นต่อมาตรการในการป้องกันแก้ไข นอกจากนี้ยังใช้ GIS วิเคราะห์ถึงผลกระทบต่างๆที่อาจเกิดขึ้นอยู่ในรัศมีของการได้รับผลกระทบจากสารพิษ เป็นต้น รวมทั้งวิเคราะห์ทิศทางวางแผนอพยพผู้คน เส้นทางในการเคลื่อนย้าย การขนส่ง และเพื่อกำหนดนโยบายและกลยุทธ์ในการป้องกัน การวางแผนการ
ช่วยเหลือ ทำการวิเคราะห์หรือสร้างภาพจำลองของเหตุการณ์เพื่อหาสาเหตุได้ทันที่ ตามสภาพของข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา


จาก กลุ่มภูมิสารสนเทศประมง

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อสังหาฯ ชานเมืองพิษณุโลกโตเร็ว ทำถนนพัง วอนชาวบ้านทนถึงสิ้น ก.พ.


ชี้อสังหาริมทรัพย์ชานเมืองพิษณุโลกเติบโต โครงการใหม่ผุดเป็นดอกเห็ดต้องขนดินถมกันเพียบ ทำถนนอรัญญิก-สระสี่เหลี่ยมพังเสียหาย นายกเทศมนตรียันสิ้นกุมภาฯ ซ่อมให้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังชาวบ้าน ต.อรัญญิก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ร้องเรียนกรณีรถบรรทุกขนดินเข้า-ออกถนนอรัญญิก-สระสี่เหลี่ยม หมู่ 5 ต.อรัญญิก ทำให้ถนนพัง มีทั้งฝุ่นและโคลน ล่าสุดนายนรินทร์ วัฒนกุลชัย นายกเทศมนตรีเมืองอรัญญิก อ.เมือง กล่าวว่า ทราบปัญหาแล้ว สาเหตุเกิดจากรถบรรทุกของผู้รับเหมาขนดินไปถมพื้นที่เตรียมก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งมีการขออนุญาตขนดินถมที่จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ จากนั้นผู้ขนดินและผู้ว่าจ้างจะรับผิดชอบซ่อมถนนให้ ดังนั้นช่วงนี้ยอมรับว่าประชาชนต้องลำบากบ้าง แต่หากขนดินเสร็จรับรองจะซ่อมให้เรียบร้อยแน่นอน
       
       “ยอมรับว่าแม้เขตเทศบาลเมืองอรัญญิกเป็นเขตชานเมือง แต่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังขยายตัว หากไม่อนุญาตขนดินก็เกิดปัญหาอีก เพราะคนสร้างบ้านจัดสรรใหม่ก็ต้องถมดินอยู่แล้ว ก็ขอให้อะลุ้มอล่วยกันไป ซึ่งวันนี้อนุญาตเฉพาะรถบรรทุกหกล้อเท่านั้น ไม่อนุญาตรถสิบล้อเด็ดขาด และต่อไปจะเข้มงวดเรื่องการคลุมผ้าใบ ป้องกันปัญหาดินตกหล่นด้วย”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์30 มกราคม 2556

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

10 ทำเลทองที่แพงที่สุดในไทย

คงหนีไม่พ้นที่ดินตามถนนต่างๆในกรุงเทพมหานครเมืองหลวงของไทยเราหากใครมีที่ีดินตามพื้นที่นี้ลองมาดูกันว่าราคาตอนที่ซื้อกับราคาปัจจุบันราคาเป็นเท่าไหร่ 
10 ทำเลทองที่มีราคาประเมินที่ดินสูงสุดและแพงที่สุดในประเทศไทย 
  1. ถนนสีลม ตารางวาละ 340,000-600,000 บาท 
  2. ถนนเยาวราช ตารางวาละ 260,000-510,000 บาท
  3. ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ตารางวาละ  430,000-510,000 บาท 
  4. ถนนเจริญกรุง ตารางวาละ 380,000-510,000 บาท 
  5.  ถนนพระราม4 ตารางวาละ 170,000-380,000  บาท 
  6. ถนนสาทร ตารางวาละ 260,000-340,000 บาท 
  7. ถนนจักรพงศ์ ตารางวาละ 330,000  บาท 
  8. ถนนวิทยุ ตารางวาละ 320,000 บาท 
  9. ถนนพระราม1 ตารางวาละ 300,000  บาท 
  10. ถนนสุขุมวิท  ตารางวาละ 300,000  บาท 


  • 9 มี.ค. 2556

เปิด 10 อันดับเมืองที่มีอสังหาริมทรัพย์แพงที่สุดในโลก

ไนท์แฟรงก์จัดอันดับอสังหาริมทรัพย์ที่แพงที่สุด 10 เมืองในโลก โดยอันดับหนึ่งคือโมนาโค ราคาที่ดินต่อตารางฟุตอยู่ที่ 5,350-5,920 ดอลลาร์ ทั้งนี้การสำรวจชิ้นนี้วัดใน 4 ปัจจัย คือ ความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจในประเทศ อิทธิพลทางการเมือง คุณภาพชีวิต และองค์ความรู้

ส่วนทั้ง 10 อันดับ มีดังนี้




อย่างไรก็ตามน่าสนใจว่ามี2เมืองที่อสังหาริมทรัพย์มีราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว คือที่ จาการ์ตา และบาหลี ในอินโดนีเซีย ซึ่งชนชั้นกลางเป็นกลุ่มหลักที่เพิ่มอัตราขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ของ 2 เมืองนี้

อย่างไรก็ตามกลุ่มประชากรที่มีรายได้สูงหรือมีฐานะดีของอินโดนีเซียก็เพิ่มขึ้นรวดเร็วเช่นเดียวกันโดยผลสำรวจชี้ว่าภายในปี2022จะมีเศรษฐีในอินโดนีเซียที่มีเงินในระดับไม่ต่ำกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ



(ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์)

สหรัฐเผยยอดขายบ้านมือสองเดือนเม.ย.พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี

สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 0.6% แตะระดับ 4.97 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2552
สำหรับยอดขายบ้านมือสองเดือนมี.ค. ถูกปรับเพิ่มเป็น 4.94 ล้านยูนิต จากเดิมที่รายงานว่าขายได้ 4.92 ล้านยูนิต
ราคากลางของบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 192,800 ดอลลาร์ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2551
ราคาบ้านที่พุ่งขึ้นดึงดูดให้มีผู้ขายบ้านมือสองมากขึ้น สต็อกบ้านมือสองที่ยังขายไม่ได้จึงเพิ่มขึ้น 11.9% เมื่อเทียบกับเดือนมี.ค. แตะ 2.16 ล้านยูนิต และหากยอดขายอยู่ที่ระดับปัจจุบัน จะต้องใช้เวลา 5.2 เดือนในการขายสต็อกบ้านดังกล่าว เพิ่มขึ้นจาก 4.7 เดือนในเดือนมี.ค.


 สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พุธที่ 22 พฤษภาคม 2556 21:42:33 น.

วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มองอสังหาริมทรัพย์ประเทศเพื่อนบ้าน

การประชุมสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินในภูมิภาคอาเซียน เมื่อต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา มีการพูดถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยผู้รู้ในแต่ละประเทศโดยตรง ทั้งจาก กัมพูชา บรูไน เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย สรุปได้ความว่า
ที่ กัมพูชา พื้นที่สำนักงานมีค่าเช่าประมาณเดือนละ 600 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งน้อยกว่าไทยไม่มากนัก สำหรับตลาดที่อยู่อาศัย ในขณะนี้เน้นสร้างตึกแถว แต่ก็เริ่มมีทาวน์เฮาส์ ส่วนอาคารชุดราคาแพงกลับชะลอตัว
อสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่งที่น่าสนใจในกัมพูชาก็คือ การให้ต่างชาติเช่าพื้นที่ทำนา หรือร่วมทุนกับชาติตะวันออกกลางทำนา ปรากฏว่ามีการเข้ามาร่วมลงทุนมาก ทำให้กัมพูชามีสัดส่วนในการส่งออกข้าวได้มากกว่าเดิม
บรูไน รายได้ประชาชาติต่อหัวสูงกว่าไทยถึงประมาณ 5 เท่าตัว แต่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กลับยังไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ยกเว้นการสร้างศูนย์การค้า โรงแรม  ส่วนหนึ่ง ส่วนในภาคที่อยู่อาศัยส่วนมากเป็นบ้านสร้างเองมากว่า
มาเลเซีย การจับจ่ายใช้สอยของประชากรภายในประเทศยังสูงอยู่ สำหรับมูลค่าการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาทในปี 2554 นั้นแยกเป็นที่อยู่อาศัย 620,000 ล้านบาท อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ 280,000 ล้านบาท อุตสาหกรรม 115,000 ล้านบาท และเกษตรกรรม 190,000 ล้านบาท นอกนั้นเป็นอื่น ๆ
อสังหาริมทรัพย์ในมาเลเซียยังเติบโด โดยพิจารณาได้จากการที่มีที่อยู่อาศัยสร้างแล้วเสร็จ 4.51 ล้านหน่วย และในอนาคต จะมีแผนการสร้างเพิ่มอีก 584,546 หน่วย
เวียดนาม ในด้านอสังหาริมทรัพย์พบว่า อาคารสำนักงานชั้นดีในกรุงฮานอย ณ ไตรมาส 1/2555 มี 290,000 ตารางเมตร ค่าเช่าประมาณ 1,000 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน แต่มีอัตราว่างถึง 35% ในขณะที่ในนครโฮชิมินห์มี 137,000 ตารางเมตร แต่ค่าเช่าดีกว่าคือเดือนละ 1,500 บาท และมีอัตราว่างน้อยกว่าคือเพียง 16% ถ้าเทียบกับไทยสถานการณ์ถือว่าแย่กว่า แต่ก็อยู่ในภาวะฟื้นตัวขึ้นกว่าแต่ก่อน
สิงคโปร์ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสิงคโปร์เติบโตอย่างรวดเร็ว ห้องชุดในสิงคโปร์มีราคาปานกลางสูงถึง 300,000 บาท โดยในใจกลางเมืองมีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 2.8% ส่วนในเขตชานเมืองมีอัตราผลตอบแทน 4.8% โดยที่สิงคโปร์เป็นแหล่งจับจ่ายสินค้าของภูมิภาคอาเซียน จึงทำให้พื้นที่ขายศูนย์การค้าค่อนข้างแพง โดยในเขตใจกลางเมือง มีอัตราสูงถึง 700,000 – 1,000,000 บาทต่อตารางเมตร
ขณะนี้คาดว่าสิงคโปร์จะเข้าสู่ภาวะถดถอยลงในระดับหนึ่งเพราะพิษเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐอเมริกา จึงคาดว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลกระทบไปด้วย
อินโดนีเซีย อาคารสำนักงานมีอัตราค่าเช่าเฉลี่ยประมาณ 544 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน 3.51% และมีอัตราว่างเพียง 11% ส่วนโรงแรมชั้นหนึ่งมีค่าเช่าค่อนข้างสูงเพราะมีจำนวนจำกัดคือคืนละประมาณ 2,837 บาท
สำหรับห้องชุดใจกลางกรุงจาการ์ตามีราคา 56,000 บาทต่อตารางเมตร และพื้นที่ค้าปลีกมีค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,755 บาทต่อตารางเมตร อินโดนีเซียมีความมั่นคงทางการเมืองสูง ประเทศมีขนาดใหญ่และมีทรัพยากรมาก โอกาสการเติบโตในอนาคตยังมีอย่างต่อเนื่อง
“จะเห็นได้ว่าแม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะตกต่ำ แต่ก็ส่งผลกระทบไม่มาก หากประเทศใดมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง มีทรัพยากรและประชากรเป็นจำนวนมาก ในอนาคตเมื่อมีเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ ASEAN Economic Community (AEC) แล้ว เศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ในแต่ละประเทศอาจมีความสัมพันธ์กันมากขึ้นอีก ประเทศไทยต้องสามัคคีกันพัฒนาประเทศและเศรษฐกิจให้เข้มแข็งเพื่อการรับมือกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอนาคตอันใกล้นี้” ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส กล่าวสรุป
ที่มา : เดลินิวส์


AEC กับผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย

ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีเป้าหมายของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเป็น “ตลาดและฐานการผลิตเดียว (Single Market and Production Base)” โดยมีการเคลื่อนย้ายสินค้าบริการ การลงทุน และแรงงานฝีมือภายในอาเซียนได้อย่างเสรี รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรีมากขึ้น ภายในปี 2558 และภายใต้กรอบการเจรจาของอาเซียน แผนงานนาไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) กาหนดพันธกรณีให้ประเทศสมาชิกต้องเปิดเสรีการค้าบริการ รวมถึงบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยลดหรือยกเลิกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด (Market Access : MA) และข้อจากัดในการให้การปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment : NT) หรือการปฏิบัติต่อคนต่างชาติที่มีสัญชาติอาเซียนเช่นเดียวกับคนในชาติตนเอง นอกจากนั้นแล้วยังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นให้กับนักลงทุนที่มีสัญชาติอาเซียนได้สูงสุดถึง 70% อีกด้วย
จากข้อกำหนดดังกล่าว ผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย จะต้องมีการปรับตัวและเตรียมความพร้อมรับมือกับนักลงทุนต่างชาติที่มีทั้งเงินทุนและเทคโนโลยีที่จะเข้ามาแข่งขันมากขึ้น เนื่องจากตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยยังมีราคาต่ากว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น สิงคโปร์ อยู่มาก นอกจากนี้ประเทศไทยเองยังตั้งอยู่ในภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ซึ่งเหมาะต่อการเข้ามาลงทุนหรือประกอบธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง และอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศได้ในระยะยาว ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถออกไปแข่งขัน หรือขยายธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านที่มีอัตราความต้องการที่อยู่อาศัยสูงกว่า พร้อมทั้งเกิดการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและองค์ความรู้ใหม่ๆ กับนักลงทุนจากประเทศสมาชิกมากขึ้น
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในฐานะที่เป็นธุรกิจการค้าครอบคลุมถึงการพัฒนา ออกแบบก่อสร้าง ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้เช่า ให้สินเชื่อจานอง ประเมินค่าทรัพย์สิน โอนเปลี่ยนมือและการบริหารจัดการดูแลทรัพย์สิน ทาให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจใหญ่ที่มีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา เช่น นักพัฒนา นักลงทุน ตัวแทนนายหน้า นักกฎหมายนักสารวจ นักประเมินราคา นักบริหารทรัพย์สินเป็นต้น และที่เป็นนิติบุคคล เช่น การนิคมอุตสาหกรรม สถาบันการเงิน ธนาคาร บริษัทบ้านจัดสรร เป็นต้น ตามแผนงานนาไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กาหนดให้การเคลื่อนย้ายของนักธุรกิจผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบวิชาชีพ แรงงานฝีมือและผู้มีความสามารถพิเศษมีการจัดทา Asean Business Card เพื่ออานวยความสะดวกในการเดินทาง และทา MRAs เพื่ออานวยความสะดวกในการประกอบวิชาชีพ (แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล สถาปนิก วิศวกร นักบัญชี และนักสารวจ) อาจส่งผลทาให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานวิชาชีพตามมา แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยลดต้นทุนจากการจัดหาสถาปนิก หรือวิศวกรเซ็นงานได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ตามความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (Asean Trade in Goods Agreement : ATIGA) ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกภาษีสินค้านาเข้าระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน หรือการยกเลิกและขจัดมาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers :NTBs) ที่จะเป็นอุปสรรคทางการค้าก็ตาม อาจส่งผลทาให้เกิดการลดต้นทุนในการนาเข้าวัตถุดิบ หรือวัสดุก่อสร้างจากประเทศสมาชิกที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ากว่า และไม่มีภาษีนาเข้าหรือเพิ่มทางเลือกและความหลากหลายให้กับผู้ประกอบการในการนาเข้าวัตถุดิบ หรือวัสดุก่อสร้างมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจส่งผลทาให้เกิดการนาเข้าวัสดุก่อสร้างหรือวัสดุตกแต่งบ้านที่มีคุณภาพต่า และไม่ได้มาตรฐานเข้าสู่ตลาดมากขึ้นเช่นกัน
ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นผลกระทบทางตรงที่อาจเกิดขึ้นกับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีก3 ปีข้างหน้า ในขณะที่ผลกระทบทางอ้อมนั้นเมื่อพิจารณาจากโครงสร้างอายุประชากรของประเทศสมาชิกอาเซียนพบว่ามีความคล้ายคลึงกัน โดยประชากรส่วนใหญ่ในแต่ละประเทศอยู่ในวัยหนุ่มสาวและวัยทางาน (อายุระหว่าง 15-64 ปี) ซึ่งสัดส่วนประชากรวัยทางานมีสูงถึง70% ของประชากรทั้งหมดในอาเซียน และยังเป็นกลุ่มที่มีกาลังซื้อสูง พร้อมจะลองสินค้าใหม่ๆ ที่มีการนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆมาใช้ในการผลิต ส่งผลทาให้เกิดแนวคิดการพัฒนาและการออกแบบที่อยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม น่าจะมีความแปลกใหม่และดึงดูดความสนใจมากยิ่งขึ้น โดยมีการนาวัตถุดิบจากธรรมชาติมาผสมผสานในการออกแบบ หรือวัสดุก่อสร้างที่สามารถกาจัดเศษเหลือทิ้งได้ง่ายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยควรเร่งปรับตัวให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในอาเซียนที่หันมาให้ความสาคัญกับสินค้าประเภทดังกล่าวมากขึ้น
นอกจากนี้ รายได้เฉลี่ยของประชากรในแต่ละประเทศสมาชิกก็อาจจะเป็นตัวกาหนดแนวคิดในการพัฒนาและออกแบบที่อยู่อาศัยได้เช่นกัน โดยสิงคโปร์และบรูไนจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง ทาให้ผู้บริโภคนิยมสินค้าที่มีแบรนด์ โดยคานึงถึงคุณภาพและความทันสมัยของสินค้าเป็นสาคัญ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรให้ความสาคัญกับแนวคิดที่เน้นในเรื่องของคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยมาก่อนเป็นอันดับแรก
ในขณะที่มาเลเซียและไทยจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลาง-สูง ซึ่งผู้บริโภคมักให้ความสาคัญกับสินค้าเทคโนโลยีและสารสนเทศ รวมถึงสินค้าที่สนองตอบต่อวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ผู้ประกอบการจึงควรพัฒนาโครงการที่ช่วยส่งเสริมหรือสนับสนุนการทางานของผู้อยู่อาศัยให้ประสบความสาเร็จและบรรลุเป้าหมายในชีวิตได้เร็วขึ้น เช่น มีสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการทางาน หรือเอื้อให้เกิดการพัฒนาตนเอง ทาเลตั้งอยู่ในที่ที่เดินทางสะดวก หรือไม่ต้องเสียเวลาไปกับการดูแลทาความสะอาดที่อยู่อาศัยเหล่านี้ เป็นต้น
ในขณะที่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนามและลาว จัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลาง-ต่า ส่วน กัมพูชา และพม่าจัดอยู่ในประเทศที่มีรายได้ต่า ซึ่งผู้บริโภคในประเทศเหล่านี้จะมีกาลังซื้อไม่สูงมากนัก จึงนิยมบริโภคสินค้าที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตประจาวัน ผู้ประกอบการจึงควรให้ความสาคัญกับความคุ้มค่าในเรื่องของราคาเป็นสาคัญ ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่งปรับตัวและศึกษาหาข้อมูลต่างๆ ให้ครบถ้วนรอบด้านทั้งความได้เปรียบเสียเปรียบ ตลอดจนต้องรู้จักเรียนรู้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีและความคิดของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อจะได้เตรียมความพร้อมและรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้น เมื่อประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า
ที่มา: คุณเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์)


วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวอย่างไร? เมื่อความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง

แม้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ แต่ยังถือได้ว่าเติบโตต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับศักยภาพที่มีและเทียบกับภูมิภาค ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้นคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าระดับ 10% ของ GDP ในยุคเฟื่องฟูก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียในปี 1997 อย่างมาก โดยระดับราคาในธุรกิจนี้ยังคงอยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าแนวโน้มของภูมิภาค โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์  

ปัจจัยด้านโครงสร้างมีผลต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยอย่างยิ่ง สัดส่วนของประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองนั้นต่ำมากเมื่อเทียบกับระดับรายได้ ประชากรไทยเพียง 32% เท่านั้นที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย (48%) มาเลเซีย (68%) และเกาหลี (81%) ยิ่งไปกว่านั้น การไม่มีชุมชนเมืองขนาดใหญ่ในพื้นที่นอกกรุงเทพฯ ทำให้กรุงเทพฯ มีสัดส่วนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้สมดุลกับพื้นทื่อื่น ๆ ในไทย โดยปัจจุบันกรุงเทพฯ มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างเกือบครึ่งหนึ่งของที่อยู่อาศัย และกว่า 75% ของพื้นที่สำนักงาน

ลักษณะความต้องการที่อยู่อาศัยกำลังเปลี่ยนแปลง  โครงสร้างของครัวเรือนกำลังเปลี่ยนไป โดยจำนวนครัวเรือนแบบใหม่ๆ (เช่น คนที่อาศัยอยู่คนเดียว ครอบครัวคู่สมรสไม่มีบุตรและครอบครัวที่ไม่ใช่ครัวเรือนเดี่ยว) เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับสัดส่วนของประชากร  นอกจากนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทก็เปลี่ยนแปลงด้วย ครัวเรือนรายได้ระดับปานกลางมีความต้องการอาศัยในทาวน์เฮ้าส์มากขึ้น ขณะที่กลุ่มรายได้ระดับสูงชอบอาศัยในบ้านเดี่ยว

เราจึงได้พัฒนาโมเดลเพื่อประมาณความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะยาวขึ้นมา โดยอาศัยข้อมูลการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรและความต้องการของแต่ละประเภทที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ เราคาดว่าอัตราการเติบโตของตลาดในกรุงเทพฯ (ในแง่จำนวน) เฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ประมาณ 4.7% ในช่วงอีก 10 ปีข้างหน้า ลดลงเล็กน้อยจากประมาณ 5.4% ในช่วงปี 2002 - 2007 โดยความต้องการที่อยู่อาศัยในย่านชุมชนเมืองขนาดใหญ่นอกกรุงเทพฯ คาดว่าจะเติบโตราว 6% สำหรับพื้นที่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมจะเติบโตสูงที่สุด ขณะที่ในพื้นที่อื่นๆ จะมีความต้องการที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์เป็นหลัก

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจมากคือ จะมีการเปลี่ยนแปลงของความต้องการภายในตลาดที่อยู่อาศัยประเภทนั้นๆ ด้วย จากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง เราได้ระบุตลาดหลัก (segment) สำหรับที่อยู่อาศัยแต่ละประเภท ทั้งที่เป็นตลาดเดิมและตลาดที่เกิดขึ้นมาใหม่ พร้อมทั้งอธิบายลักษณะและความต้องการของตลาดดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ครอบครัวที่ไม่ใช่ครัวเรือนเดี่ยวที่อาศัยในทาวน์เฮ้าส์มีแนวโน้มที่จะมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการห้องนอนหลายห้องมากกว่าครอบครัวคู่สมรสมีบุตร

เราต่างรู้ดีว่าทำเลมีความสำคัญขนาดไหนสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่จะมีทำเลดีๆ เหลืออยู่กี่แห่งเชียว ดังนั้น จะทำอะไรอื่นได้อีกบ้างเพื่อเพิ่มมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์? 

เราจึงได้ทำการวิเคราะห์ด้วยวิธี hedonic pricing analysis เพื่อหาว่าปัจจัยอะไรบ้างที่ทำแล้วจะทำให้ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อที่อยู่อาศัยหนึ่งๆ ได้มากขึ้น เราได้เก็บข้อมูลจากบ้านเดี่ยว 90 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์ 80 ยูนิตและคอนโดมิเนียม 75 ยูนิต เพื่อนำมาวิเคราะห์ โดยพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ทำเล ระยะห่างจากรถไฟฟ้า/รถไฟใต้ดิน ขนาดที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เป็นต้น จากการวิเคราะห์พบว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อที่อยู่อาศัยหนึ่งๆ ได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากโครงการอสังหาริมทรัพย์หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหนก็ตาม ถูกพัฒนาโดยบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นตัวสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและชื่อเสียง ส่งผลให้ผู้บริโภคยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการดังกล่าว เพิ่มขึ้นอีกกว่า 40% เมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ 

ยิ่งไปกว่านั้น มีการประเมินว่าธุรกรรมที่เกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ คิดเป็นเกือบ 70% ของมูลค่าธุรกรรมดังกล่าวของทั้งประเทศในปี 2009 แสดงให้เห็นว่า กรุงเทพฯ เป็นตลาดที่มีผู้แข่งขันมาก ทั้งๆ ที่มีพื้นที่จำกัด จากการวิเคราะห์ของเราพบว่า ความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับการตอบสนองความต้องการเฉพาะของทั้งตลาดเดิมและตลาดที่เกิดขึ้นมาใหม่ซึ่งเป็นผลจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ล้วนเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการได้

รายงานฉบับนี้เน้นถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรและความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงผลที่มีต่อแนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในระยะยาว ในขณะที่ แนวโน้มของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในระยะสั้นกลับได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจระดับมหภาคตามปกติทั่วไป อันได้แก่ อัตราการเติบโตของ GDP ความต้องการภายในประเทศ ราคาน้ำมันและเงินเฟ้อ และความมั่นใจของผู้บริโภค โดยแม้จะมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่มุมมองของเราต่อแนวโน้มระยะสั้นก็ยังเป็นไปในทางบวกอยู่ เราคาดว่าในปี 2010 - 2011 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีอัตราการเติบโตสูงกว่าปี 2009 โดยเฉพาะในตลาดระดับกลาง แต่เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคนั้นเปลี่ยนแปลงเร็ว และยากต่อการคาดการณ์ด้วยความแม่นยำสูง แนวโน้มในระยะสั้นจึงยังคงมี

ที่มา SCB ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ